วันพุธที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

ประเภทของอาหารสุนัข





อาหารและเทคนิคการให้อาหาร

       อาหารที่ดีเป็นมูลฐานสำคัญสำหรับการเพาะเลี้ยงที่ดี สุนัขก็เช่นเดียวกับมนุษย์ต้องการอาหารนับตั้งแต่ผสมติดในท้อง เกิดมาสู่โลก จนถึงตายไปเพื่อการมีชีวิตอยู่อย่างมีสุขภาพสมบูรณ์ สำหรับอาหารที่ใช้เลี้ยงนั้น หากแยกแยะตามคุณค่าทางโภชนาการ ก็สามารถแบ่งออกเป็น 6 ประเภท คือ โปรตีน คาร์โบไฮเดรต ไขมัน วิตามิน เกลือแร่ (แร่ธาตุ) และน้ำ

หลักการใช้อาหาร

ในการใช้อาหารสำหรับเลี้ยงสุนัข มีหลักสังเกตและข้อปฏิบัติที่ควรทราบไว้ดังนี้

สุนัขมีขนาดกระเพาะเล็ก ดังนั้น จึงต้องให้เนื้อหรืออาหารสำเร็จและเทียบตามส่วนแล้วอาหารที่จะย่อยนั้น ควรมีขนาดเล็กเช่นเดียวกัน
ถ้าเป็นสุนัขให้นมลูก อาหารที่กินเข้าไปส่วนใหญ่จะจ่ายออกไปเลี้ยงลูกสุนัขโดยทางน้ำนม ลูกสุนัขในระยะแรกจึงควรเลี้ยงด้วยนมแม่จะดีกว่าการใช้นมวัวเลี้ยง ซึ่งธาตุอาหารน้อยกว่า ในระยะต่อมาก็ควรให้อาหารประเภทเนื้อหรืออาหารสำเร็จให้มาก จึงจะถือว่าเป็นวิธีบำรุงเลี้ยงที่ถูกต้อง
ในกระเพาะสุนัขมีกรดไฮโดรคลอริคในปริมาณที่สูง
 ดังนั้น จึงช่วยทำให้การย่อยอาหารประเภทกระดูกและก้อนเนื้อใหญ่ ๆ เป็นไปโดยง่ายขึ้น
ฟันสุนัขปรับตัวของมันสำหรับกัดและตัดเท่านั้น ไม่ใช่สำหรับการบดเขี้ยวเช่นสัตว์ประเภทกินเมล็ดพืช จริงอยู่แม้ว่ามันจะคุ้นเคยกับการกินอาหารได้เกือบทุกชนิดก็ตาม แต่โครงกระดูกและร่างกายของมันยังคงเป็นสัตว์กินเนื้ออยู่นั่นเอง ด้วยหลักนี้จึงถือว่าเนื้อเป็นอาหารธรรมชาติ และเหมาะสำหรับใช้เลี้ยงสุนัขด้วยหระการทั้งปวง
สุนัขมีน้ำลายสำหรับทำลายสิ่งบูดราได้ในปริมาณที่น้อย และการย่อยแป้งต้องใช้กรดไฮโดรคลอริคในปริมาณที่สูง ด้วยเหตุนี้ กระเพาะสุนัขจึงไม่ปรับตัวสำหรับการย่อยแป้ง (แต่แป้งจะถูกส่งไปย่อยในลำไส้เล็ก)
หากระลึกถึงความจริงต่าง ๆ จากข้อ 1-5 นี้ รวมทั้งประเภทของอาหารสุนัขดังกล่าวมาแล้ว จะได้หลักในการใช้อาหารสำหรับเลี้ยงสุนัขว่าจะต้องเป็นประเภทเสริมสร้างร่างกาย สร้างพลังงาน ให้ความร้อน รวมทั้งให้วิตามิน และเกลือแร่ที่สำคัญ ดังนั้น ส่วนประกอบของอาหารสุนัขมีดังนี้

เนื้อ ซึ่งมีโปรตีนและแร่ธาตุ ๆ เช่น เนื้อแกะ
ไขมัน ให้ความร้อน และวิตามิน เอ ดี
ผัก ข้าว และเมล็ดธัญพืชทุกชนิด ทำให้เกิดพลังงานและวิตามินบี วิตามินอี
ผักใบเขียวดิบ ๆ หรือต้มอ่อน ๆ มีเกลือแร่ วิตามินซี และวิตามินอื่น ๆ
ไข่ ซึ่งมีไขมัน เหล็ก ฟอสฟอรัส และวิตามินต่าง ๆ เช่น เอ ดี เป็นต้น เพื่อช่วยการเจริญเติบโตของร่างกายและต้านทานโรค
ตับปลาหรือตับสัตว์ชนิดใดชนิดหนึ่ง นับว่ามีประโยชน์ต่อร่างกายมากทีเดียว
เมื่อได้หลักการในเรื่องการให้อาหารสุนัขดังนี้แล้ว การพิจารณาในขั้นต่อไปก็คือ ความจำเป็นถึงการให้อาหารสุนัข ในทางปฏิบัติสุนัขส่วนมากพอใจที่จะได้รับอาหารเพียงวันละ 1-2 เวลาเท่านั้น คือ เช้าและเย็น การให้อาหารในเวลาหนึ่ง ๆ ไม่ควรให้มันกินมากจนล้นกระเพาะ ทั้งนี้ก็เพราะว่าจะทำให้ระบบการย่อยอาหารของมันของมันต้องทำงานหนักเกินไปและทรุดโทรมเร็วขึ้น ซึ่งเป็นการได้รับอาหารที่ผิดธรรมชาติของมันถ้าเป็นอาหารประเภทแป้งหรือน้ำต้มเนื้อรวมกับผักควรให้สุนัขกินในมื้อแรก ส่วนอาหารประเภทเนื้อควรให้มื้อหลังจะเป็นการดีอย่างยิ่ง แต่จะอย่างไรก็ตามอย่าได้ให้ทันทีก่อนหรือหลังการออกกำลังมาก ๆ ของสุนัข สำหรับการเลี้ยงสุนัขในปัจจุบันถ้าผู้เลี้ยงใช้อาหารสำเร็จรูปสำหรับสุนัขที่มีขายอยู่ในขณะนี้เลี้ยงแล้ว ส่วนใหญ่จะได้คุณค่าทางอาหารที่เพียงพอต่อความต้องการ แต่ถ้าในท้องถิ่นนั้นหาซื้อได้ยากก็ควรใช้อาหารที่หาได้เท่าที่มีโดยคำนึงถึงคุณค่าทางโภชนาการของอาหารนั้นด้วย

อาหารสำหรับสุนัขโตเต็มที่ (วัยหนุ่มสาว) 

เมื่อสุนัขโตเต็มที่ผู้เลี้ยงอาจให้อาหารวันละ 1 หรือ 2 ครั้งก็ได้ตามแต่จะสะดวกแต่อาหารนั้นจะต้องมีคุณภาพสูง เช่น อาหารที่มีส่วนผสมของเนื้อแกะ หรือจะเป็นอาหารสำเร็จรูป ซึ่งปริมาณการให้อาหารสำหรับสุนัขพันธ์นี้โดยเฉลี่ยไม่เกิน 2 ถ้วยตวง/1ตัว ควรให้ในตอนเย็นจะเป็นเวลาที่ดีที่สุดเพราะจะทำให้สุนัขไม่กวนในเวลากลางคืน

อาหารสำหรับสุนัขแก่

สุนัขแก่มีความต้องการผิดจากสุนัขหนุ่มสาว คือ ต้องการอาหารที่ย่อยง่าย มีโปรตีนสูง แต่มีไขมันและคาร์โบไฮเดรตน้อย อาหารที่ให้ไม่ควรแข็งหรือเหนียว เพื่อป้องป้องกันปัญหาเรื่องฟัน และควรให้กินอาหารวันละ 2 เวลา จะดีกว่าให้กินวันละครั้งในจำนวนมาก ๆ ในการเลี้ยงสุนัขแก่ของท่านให้มีอายุยืนนานนั้นผู้เลี้ยงจำเป็นต้องเลี้ยงสุนัขแก่ให้แข็งแรงอยู่ หากพบว่าสุนัขแสดงอาการผิดปกติควรรีบตรวจรักษาโดยเร็วอาหารสำหรับสุนัขเจ็บป่วย

หลักการให้อาหารสุนัขขณะเจ็บป่วย

ก็คือต้องให้บ่อย ๆ เพราะขณะเจ็บป่วยกำลังในการย่อยของสุนัขจะอ่อนลง หารให้อาหารมากไปแล้ว นอกจากจะไม่ให้ประโยชน์แล้วยังไปรบกวนอวัยวะเหล่านั้นด้วย ถ้าทำได้แล้วทางที่ดีควรให้สุนัขเลือกกินอาหารเองตามใจชอบ การให้อาหารโดยการบังคับจะทำก็ต่อเมื่อสุนัขไม่กินอาหารเหล่านั้นหากสุนัขแสดงอาการไม่สนใจต่อก้อนเนื้ออันโอชะที่หยิบยื่นให้แก่มันแล้ว ผู้เลี้ยงจำเป็นจะต้องให้อาหารข้นโดยการป้อน ในการป้อนนี้ควรป้อนอาหารที่เป็นน้ำหรือของเหลวอ่อน ๆ ด้วยช้อนหนือทัพพีปากแคบ ๆ วิธีป้อนก็ให้ค่อย ๆ พยุงศีรษะสุนัขขึ้นแล้วอ้าริมฝีปากให้ห่างออกเป็นกระพุ้ง แล้วค่อย ๆ เทอาหารลงในปาก และต้องพยุงศีรษะไว้จนกว่าสุนัขจะกลืนอาหารนั้นแล้วจึงค่อยป้อนต่อไป เมื่อป้อนอาหารเสร็จแล้วควรล้างและเช็ดเศษอาหารที่ปากออกให้หมด อย่างไรก็ตาม อาหารไม่ใช่ยารักษาโดยตรง เพียงแต่ช่วยให้สุนัขป่วยอยู่ได้ ฟื้นตัวหรือหายเป็นปกติเร็วขึ้น

อาหารสำหรับสุนัขท้องเสีย

    อาหารที่จะให้ต้องย่อยได้ง่ายและไม่ขัดขวางการหายใจของแผลในกระเพาะและลำไส้ ถ้ามีอาการท้องเสียรุนแรงหรือมีอาเจียนร่วมด้วย ควรนำสัตว์ไปพบสัตวแพทย์ เพื่อให้น้ำเกลือ ทดแทนน้ำและเกลือแร่ที่สูญเสียไป เพราะฉะนั้น อาหารที่ให้ควรเป็นอาหารอ่อน ย่อยได้ง่าย ไม่ระคายเคืองกระเพาะและลำไส้ มีพลังงานมากเพียงพอ ซึ่งได้จากพวกคาร์โบไฮเดรต แต่ไขมันไม่ควรให้มาก ลักษณะอาหารเช่นนี้ยังใช้ได้ในลูกสุนัขที่เพิ่งอย่านม เนื่องจากไม่ระคายเคืองต่อทางเดินอาหาร

อาหารสำหรับลูกสุนัขท้องผูก

     อาหารควรมีสารเยื่อใยมาก เพื่อช่วยการบีบตัวของลำไส้และเพิ่มปริมาณของลำไส้ ทั้งยังช่วยดูดน้ำในส่วนของลำไส่ใหญ่อีกด้วย

ให้อาหารอย่างน้อย 2 ครั้งต่อวัน เพื่อกระตุ้นการบีบตัวของลำไส้ ให้ดันก้อนอาหารไปยังส่วนสุดท้าย
พาสุนัขออกกำลังการบ้างสัก 30-60 นาที หลังจากกินอาหาร เพื่อกระตุ้นการถ่ายอุจจาระและการบีบตัวของกล้ามเนื้อท้อง
ตรวจดูที่ก้นสุนัขด้วย เพราะอาการท้องผูกอาจเกิดจากโรคทางทวารหนักหรือได้รับการกระแทกจนบาดเจ็บไม่สามารถถ่ายอุจจาระได้
หาน้ำสะอาดให้กิน
จำกัดอาหารพวกคาร์โบไฮเดรตและไขมัน
จะเห็นได้ว่าอาหารนี้มีพลังงานต่ำ เพราะให้คาร์โบไฮเดรตและไขมันน้อยลง แต่มีสารเยื่อใยเพิ่มมากขึ้น

จะไม่ค่อยย่อยและยังอมน้ำไว้ได้มากในส่วนลำไส้ใหญ่อีกด้วย อีกทั้งยังช่วยลดการหิวของสุนัขได้ อาหารสูตรนี้ยังเหมาะกับสุนัขที่อ้วนเกินไป และสุนัขที่เป็นโรคเบาหวาน คือจะช่วยลดปริมาณน้ำตาลในเลือด ส่วนแม่สุนัขที่กำลังท้องและให้นมลูก ไม่ควรให้อาหารนี้รวมทั้งสุนัขที่เป็นโรคไตด้วย

อาหารสำหรับสุนัขท้อง

     สำหรับสุนัขแม่พันธ์ต้องบำรุงดูแลอย่างใกล้ชิด เราต้องให้อาหารมากกว่าปกติ อาหารที่ใช้เลี้ยงสุนัขท้องจะต้องมีโปรตีน แคลเซี่ยม และวิตามินสูง แต่ไขมันต่ำ ขนาดและปริมาณที่ให้ในระยะ 6 สัปดาห์แรกของการตั้งท้องให้ในขนาดเดียวกับสุนัขโตเต็มวัยและค่อย ๆ เพิ่มปริมาณขึ้นใน 3 สัปดาห์สุดท้ายก่อนคลอด โดยให้เพิ่มอาหารขึ้นประมาณ 15-20% ของน้ำหนักตัว

อาหารสำหรับลูกสุนัข

     ลูกสุนัขที่อยู่ในระหว่างกินนมแม่และหลังอย่านมใหม่ ๆ เป็นช่วงที่ลูกสุนัขต้องการโปรตีนสูงมาก อายุจากแรกเกิดถึง 1 เดือน โปรตีนจะได้จากน้ำนมแม่ แต่หลังจาก 1 เดือนไปแล้ว แม่สุนัขจะแสดงอาการเกี้ยวกราดขู่คำราม เมื่อลูกของมันจะกินนม
      ช่วงนี้เราจะต้องให้ลูกสุนัขได้อาหารจากจานใส่อาหารแทน กล่าวคือ หลังจากที่ลูกสุนัขได้คลอดออกมาสู่โลกภายนอกใหม่ ๆ จะยังไม่ลืมตา แต่จะใช้จมูกนำทางและตะเกียกตะกายหาเต้านมดูดเอง ดังนั้นเพื่อให้ลูกสุนัขได้รับน้ำนมเหลืองจากแม่เร็วขึ้น ควรช่วยจับลูกสุนัขใส่เต้านมแม่ ต่อไปลูกสุนัขจะหาเต้านมกินได้เอง จากระยะนี้ต่อไปผู้เลี้ยงเพียงแต่จะคอยระวังอย่าให้แม่สุนัขทับลูก และคอยดูแลให้ลูกสุนัขที่อ่อนแอได้มีโอกาสกินน้ำนมแม่อิ่มเท่ากัน เพราะตัวที่แข็งแรงกว่าจะแย่งเต้านมและดูดกินหมดก่อนเสมอสำหรับลุกสุนัขที่มีขนาดครอกใหญ่คือ มีจำนวนมากเกินไป น้ำนมแม่มีไม่พอให้กิน ควรเพิ่มน้ำนมโคให้กินทดแทน เพื่อป้องกันไม่ให้แม่สุนัขมีสุขภาพทรุดโทรมลงมากควรอย่านมเมื่อลูกสุนัขอายุได้ประมาณ 4-6 สัปดาห์ หรือ 1 เดือน ขึ้นไปเป็นอย่างน้อย การหัดให้ลูกสุนัขอย่านมนี้อาจทำได้โดยการให้อาหารทดแทน ซึ่งผสมได้โดยใช้น้ำอุ่น ๆ 1 ถ้วย ผสมน้ำหวาน 1 ช้อน และน้ำอุ่น 1 ถ้วย ใส่อาหารผสมนี้ในจานปากกว้างและตื้น ๆ หัดให้ลูกสุนัขกินโดยจับหัวลูกสุนัขให้ปากจุ่มลงในจานอาหาร ลูกสุนัขจะเลียและเริ่มกินเองได้ ต่อมาก็ให้อาหารอื่น เช่น เนื้อ หัวปลา ลูกชิ้น และไข่ เป็นต้น เพิ่มลงไปในอาหารผสมทีละน้อยจนกระทั่งกินอาหารนี้ได้โดยไม่ต้องมีน้ำนมในระหว่างการหัดให้อย่านมนี้ควรแยกแม่สุนัขออกจากลูกสุนัข และให้ลูกลูกสุนัขกินนมห่างขึ้นเรื่อยๆ พร้อมกับให้อาหารเสริมทดแทน จนกระทั่งไม่ต้องกินนมแม่อีกต่อไป เมื่ออายุได้ 5-6 เดือนขึ้นไป ก็ให้กินอาหารประมาณ 3.5% ของน้ำหนักตัว ควรให้อาหารวันละ 3 เวลา ประมาณ 3 เดือน แล้วจึงค่อยลดลงให้เหลือวันละ 2 เวลา สำหรับลูกสุนัขที่มีอายุ 8-9 เดือนเต็มลูกสุนัขมีความต้องการโปรตีนสูงถึง 2 เท่าของสุนัขที่โตเต็มที่ เกลือแร่ที่ลูกสุนัขต้องการมากคือ แคลเซียมและฟอสฟอรัส ดังนั้น อาหารที่ควรให้ลูกสุนัขคือ เนื้อบด ถ้าไม่สามารถบดได้อาจใช้วิธีสับ แล้วนำไปต้มเพื่อป้องกันพยาธิ บางมื้ออาจเสริมไข่ต้ม การทดแทนเกลือแร่ เราอาจให้ตับต้มหรือที่ให้เด็กอ่อน แต่ไม่ควรให้กระดูกในระยะนี้ เนื่องจากระบบย่อยอาหารของลูกสุนัขยังทำงานได้ไม่เต็มที่ โดยเฉพาะกระดูกไก่หักจะมีความคมมาก อาจติดหรือแทงอวัยวะย่อยอาหารได้ 
      การให้นมผงละลายน้ำที่มีขายสำหรับสุนัข หรือนมผงสำหรับเด็กอ่อน นอกจากจะสามารถให้เกลือแร่ที่ลูกสุนัขต้องการแล้ว ยังมีวิตามินตามที่มันต้องการด้วย

กระดูกเป็นของต้องห้ามเลยนะครับ ถึงแม้พวกเธอจะชอบเป็นชีวิตแต่อย่าใจอ่อนให้เป็นอันขาดเพราะนั้นจะเป็นอันตรายต่อสุนัขเป็นอย่างมากเลยที่เดียว

ชนิดของอาหารสุนัข


เกรดธรรมดา
เกรดพรีเมี่ยม
เกรด ซุเปอร์ พรีเมี่ยม
เกรด Holistic

เกรดธรรมดา
-          เพดดีกรี

-          สมาร์อาท

-          ซีพี

-          อัลโป

-          ดร.เลิฟเวอร์  ทำจากสาหร่ายสไปรูลิน่า แหล่งของสารอาหารกว่า 40 ชนิด

-          PRISM

เกรดพรีเมี่ยม
-          Science Diet

-          Royal Canin (จะทำให้ขนเป็นสีนวล)

-          Eucanuba

-          Field Trial

-          Bree Derline

-          Euro Premium (รักษาข้อ)

เกรดซูเปอร์ พรีเมี่ยม
-          Regal

-          Pro Plan

-          Proformance

-          Cadina

-          Neutrine

เกรด Holistic
-          Regal  หมาพันธ์เล็ก เช่น ชิซุ บำรุงขนขาว (เหมาะกับสุนัขพันธ์ขนยาว)

-          Pinnacle



ข้อดีของอาหารเม็ดชุปเปอร์พรีเมียม (Super Premium Dry Food)

สารอาหารที่ถูกต้องตรงกับความต้องการที่แท้จริงของสุนัข

   ด้วยความแตกต่างทางโครงสร้าง และสรีรวิทยาในสุนัข อาทิเช่น การเจริญเติบโตของสุนัข, ช่วงสุนัขโตเต็มวัย ,น้ำหนักเฉลี่ยในสุนัขโตเต็มวัย, ความสามารถในการย่อยอาหารของสุนัข ,ช่วงอายุยืนยาวโดยเฉลี่ย และสายพันธุ์ของสุนัข Royal Canin Size Hralth Nutrition จึงได้แบ่งกลุ่มสุนัขออกเป็น 4 กลุ่ม คือ มินิ(Mini) ,มีเดียม(Medium) ,แม๊กซี่(Maxi) ,ไจแอนท์ (Giant) ตามน้ำหนักตัว จากการมุ่งมั่น ศึกษา วิจัย Royal Canin ได้พัฒนาสูตรอาหาร Size Health Nutrition เพื่อตอบสนองความต้องการของสุนัขอย่างแท้จริง

สาระน่ารู้  : อาหารเม็ดซุปเปอร์พรีเมี่ยม อาหารสุนัข เกรดพรีเมี่ยม จึงมีสารอาหารจำเป็นต่อสุขภาพ ได้แก่ แร่ธาตุในรูปคีเลท กลูโคซามีน และคอนดรอยติน ช่วยบำรุงข้อต่อ สารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยชะลอการเสื่อมของเซลล์ เป็นต้น

ความสามารถในการย่อยอาหารได้สูง

อาหารเม็ดซุปเปอร์พรีเมียมที่ดี ควรมีคุณสมบัติในการย่อยได้สูง และง่ายต่อการดูดซึมสารอาหารไปใช้ประโยชน์ (สังเกตได้จากปริมาณการขับถ่ายของสัตว์เลี้ยง) ขึ้นอยู่กับคุณภาพของวัตถุดิบ และการผลิตที่ดี

สาระน่ารู้ : 90% ของสัตว์แพทย์ในฝรั่งเศส แนะนำให้ใช้อาหารเม็ดสำหรับการเลี้ยงสุนัข และ แมว

ความน่ากินสูง

    กลิ่นคือปัจจัยสำคัญต่อการกินเลือกอาหารของสุนัข และแมว(รสชาติไม่มีผลต่อการเลือกกินขอสัตว์เลี้ยง)Royal Canin ได้ศึกษาค้นคว้า และพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ในเรื่องของกลิ่นอาหรเพื่อความน่ากินสูง พร้อมทั้งคิดค้นวิธีการเก็บรักษาคุณภาพกลิ่นรูปทรง และวิตามิน ให้คงคุณภาพให้ยาวนานขึ้น




การเลือกอาหารสุนัข ที่มีคุณภาพ

อาหารสำเร็จรูปสำหรับสุนัข แบ่งออกเป็น 3 ประเภทได้แก่

          1. อาหารสำเร็จรูปทั่วไป (Generic) ส่วนมากจะไม่มีการติดยี่ห้อ บรรจุอย่างง่ายๆ ผลิตและขายกันในท้องถิ่นใช้วัตถุดิบ ที่ราคาถูกหาได้ในพื้นที่ โรงงานผลิตอาจจะมีการควบคุมคุณภาพมากหรือน้อยก็ได้

          2. อาหารสำเร็จรูปยอดนิยม (Popular Brand) เป็นยี่ห้อที่มีวางขายทั่วไปตามร้านค้า ซุปเปอร์มาร์เก็ต ซึ่งโดยมากมักใช้ วัตถุดิบหลายตัวเป็นแหล่งโปรตีนทำให้ดูเปอร์เซ็นต์โปรตีนสูงเป็นจุดขายในตลาด เน้นความน่ากินมากกว่าคุณค่าทางอาหาร ที่เหมาะสม

          3. อาหารสำเร็จรูปคุณภาพสูง (Premium Brand) เป็นอาหารที่มีคุณภาพสูงจะวางขายในคลีนิคสัตวแพทย์ หรือร้าน Petshop ที่มีคนขายคอยแนะนำ เป็นอาหารที่ใช้วัตถุดิบอย่างดี ย่อยง่ายให้คุณค่าทางโภชนาการที่เหมาะสม เน้นที่สุขภาพของสัตว์เลี้ยง เป็นสิ่งสำคัญ ทำให้ราคาต่อหน่วยค่อนข้างสูง เพราะอาหารตัวนี้มีความเข้มข้นทำให้กินปริมาณน้อยแต่ได้คุณค่าทางสารอาหารครบถ้วน

          แน่นอนครับว่าการตัดสินใจเลือกซื้ออาหารสำเร็จรูปนั้นคงต้องดูจากปัจจัยหลายๆ อย่างประกอบกันเป็นต้นว่าราคาของ สินค้าและคุณภาพผลิตภัณฑ์ โดยมีข้อพจารณาเลือกซื้ออาหารสุนัขสำเร็จรูปที่มีคุณภาพ ดังนี้

      มีความชอบกินสูง
          สุนัขควรดมกลิ่นทันทีที่เทอาหารลงชาม หรือไม่ควรทิ้งไว้เกิน 1 ชั่วโมง

      มีความครบถ้วนของสารอาหารสมบูรณ์ และสมดุลไม่มากหรือน้อยเกินไป
          ซึ่งดูได้จากวัตถุดิบที่มีคุณภาพจะมีระบุอยู่ด้านหลังถุงอาหาร โดยเรียงตามปริมาณวัตถุดิบที่มีมากที่สุดไปหาน้อย

          เป็นอย่างไรบ้างครับสำหรับวิธีการเลือกซื้ออาหารสำเร็จรูปที่ดีให้กับสุนัขและแมวของท่านหากท่านสามารถเลือกอาหาร ที่ดีมีคุณภาพสูงให้กับพวกเขาได้แล้ว ก็คงไม่จำเป็นต้องให้อาหารเสริมอื่นๆ เพิ่มเติมอีกจะยิ่งช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น ได้มากขึ้น แถมสุนัขที่ท่านรักยังมีขนสวยงาม สุขภาพสมบูรณ์แข็งแรงอยู่เป็นเพื่อนท่านได้อีกนานยิ่งขึ้นด้วยครับ.....

อาหารต้องห้ามสำหรับสุนัข 



อาหารเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้สุนัขของคุณมีสุขภาพร่างกายแข็งแรง และมีชีวิตอยู่ได้อย่างมีความสุข ปราศจากโรคภัยไข้เจ็บมีอายุยืนยาว ดังนั้นการให้อาหารแก่สุนัข ผู้เลี้ยงจึงจำเป็นต้องพิถีพิถันอยู่บ้าง ผู้เลี้ยงหลายคนนิยมให้อาหารสำเร็จรูป เพราะสะดวกสบายไม่ต้องเสียเวลาในการเตรียมอาหารสดให้ยุ่งยาก เพราะกว่าจะครบถ้วนด้วยสารอาหารก็จะต้องมีทั้ง ข้าว ตับ และผัก การใช้อาหารเม็ด หรืออาหารกระป๋องดูจะง่ายและให้สารอาหารแก่สุนัขอย่างครบถ้วนมากกว่า อีกทั้งอาหารเม็ดหรืออาหารสำเร็จรูปยังทำให้อุจจาระของสุนัขแข็งเป็นก้อน ง่ายต่อการเก็บทำความสะอาดอีกด้วย

แต่ก็มีผู้เลี้ยงบางกลุ่มนิยมให้อาหารสุนัขตามแต่ความต้องการของตนเอง โดยผู้เลี้ยงเข้าใจผิดว่า สุนัขมีความต้องการ และความสามารถในการกินได้เช่นเดียวกับคน ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นความคิดที่ผิด อาหารที่คุณให้อาจย้อนกลับมาทำอันตรายถึงชีวิตแก่สุนัขแสนรักของคุณได้ 

อาหารต้องห้าม 3 อย่างของสุนัข ที่ผู้เลี้ยงควรหลีกเลี่ยงไม่นำมาให้สุนัขกินได้แก่

1 กระดูกไก่ ปลา 

หากไม่จำเป็นคุณไม่ควรให้กระดูกไก่ ปลา ให้เจ้าสุนัขของคุณกินโดยเด็ดขาด แม้ว่าเจ้าสุนัขของคุณจะชื่นชอบอาหารเหล่านี้เพียงใด เพราะ กระดูกไก่ ก้างปลา อาจแตกหักระหว่างที่สุนัขขบเคี้ยวสร้างมุมแหลม และความแหลมนี่เองอาจทิ่มแทงทำอันตรายสุนัขของคุณได้ ผู้เลี้ยงหลายคนให้เหตุผลในการให้อาหารเหล่านี้แก่สุนัขว่า ต้องการให้แคลเซียมแก่สุนัข ซึ่งความจริงแล้วผู้เลี้ยงสามารถให้เม็ดแคลเซียม หรือนมอุ่นๆแก่สุนัขแทนได้

ทั้งนี้หมายรวมถึงอาหารที่มีลักษณะเป็นของมีคมขนาดเล็กอื่นๆ เช่น ส่วนหางของกุ้ง เพื่อนของผู้เขียนเคยสูญเสียสุนัขจากกรณีดังกล่าวมาแล้ว เนื่องจากไปเที่ยวทะเลซื้ออาหารทะเลมารับประทานที่บ้าน พอเหลือก็นำมาให้สุนัขกินอย่างไม่รู้เท่าทัน ผลปรากฏว่าสุนัขกินส่วนหางของกุ้งเข้าไปติดคอเสียชีวิต

2 หัวหอมและกระเทียม 

ไม่ควรให้สุนัขรับประทานในปริมาณมาก เพราะหัวหอมและกระเทียม มีส่วนประกอบของกำมะถันอยู่มาก เพราะฉะนั้นจึงไม่เหมาะแก่การผสมในอาหารให้กับเจ้าตูบ เนื่องจากว่า สารกำมะถันนี้จะทำลายเซลล์เม็ดเลือดแดงของสุนัข จะทำให้โรคโลหิตจาง และโรคเลือดไหลไม่หยุดได้

3 ช็อคโกแลต 

หลายคนเคยให้ช็อคโกแลตกับสัตว์เลี้ยงของท่าน โดยไม่รู้ว่าช็อคโกแลตเหล่านี้ส่งผลร้ายต่อสุนัข สาเหตุเพราะช็อคโกแลตมีส่วนประกอบของสารชนิดหนึ่งชื่อว่า theobromine ซึ่งเป็นกลุ่มเดียวกับ สารพวก caffeine(ซึ่งมีในพวกกาแฟ โกโก้) สาร theobromine นี้เมื่ออยู่ในร่างกายมันจะมีฤทธิ์หลายอย่าง แต่ที่เห็นเด่นๆชัด คือ จะกระตุ้นให้มีการหลั่งสารที่เรียกกันว่า adrenaline ซึ่งสารตัวนี้จะมีผลทำให้หัวใจเต้นเร็ว เหงื่อออกมาก ถ้ากินมากๆอาจถึงขั้นเป็นพิษได้จะทำให้เกิด อาการ อาเจียน ท้องเสีย หายใจถี่ ฉี่บ่อย กระวนกระวาย และในที่สุดก็ถึงตายได้ มีรายงานในสุนัขบอกว่า ในสุนัขที่น้ำหนักไม่เกิน 5 กก. กินเข้าไปแค่ 400 มก. ก็สามารถแสดงความเป็นพิษได้ การที่สุนัขค่อนข้างจะไวต่อความเป็นพิษของ theobromine นั้นเป็นเพราะว่าร่างกายของมันไม่สามารถที่จะกำจัด theobromine ออกจากร่างกายได้รวดเร็วเหมือนกับสัตว์ชนิดอื่น ตามปกติช็อคโกแลตที่ขายในท้องตลาด ถ้าเป็นแบบหวานจะมี theobromine อยู่ประมาณ 1.5 มก ต่อ ซีซี แต่ถ้าเป็นแบบไม่หวานจะมีประมาณ 13 มก. ต่อ ซีซี

ข้อมูลเพิ่มเติม

1.เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ทำให้เกิดอาการได้รับสารพิษมากเกินไป เข้าขั้นโคม่าและตายได้ 

2.อาหารทารกสำเร็จรูป มักมีส่วนผสมของหัวหอมที่เป็นพิษกับสุนัข และถ้ากินมากๆ อาจอยู่ในภาวะขาดสารอาหารได้

3.ก้างปลา กระดูกต่างๆ อาจทำให้ติดคอหรือบาดกระเพาะอาหารเป็นแผลได้

4.ชา กาแฟ เครื่องดื่มคาเฟอีนและ ช็อกโกเเลต เป็นพิษกับหัวใจและระบบประสาท 

5.น้ำมันสกัดจากผลไม้ชนิดส้ม ทำให้เกิดการอาเจียน

6.องุ่นและลูกเกด ทำให้เกิดผลเสียกับไต 

7.วิตามิน(ของคน)ที่มีธาตุเหล็ก ทำลายเนื้อเยื่อของระบบย่อยอาหารและเป็นพิษต่อตับและไต 

8.ตับ(ในปริมาณมาก) ทำให้เกิดวิตามินเอเป็นพิษ ส่งผลกับกล้ามเนื้อและกระดูก

9.ถั่วแมคคาเดเมีย มีสารพิษที่เป็นอันตรายต่อระบบย่อยอาหาร ระบบประสาท และกล้ามเนื้อ

10.นมและผลิตภัณฑ์จากนม สุนัขส่วนใหญ่ไม่มีเอนไซม์ใช้ย่อยน้ำตาลแลคโตสในนมวัวมากพอ ซึ่งจะทำให้เกิดท้องเสีย ควรใช้นมสุนัขที่ไม่มีแลคโตส 

11.เห็ด เห็ดบางชนิดเป็นพิษ ส่งผลต่ออวัยวะหลายส่วน ทำให้ช๊อค และตายได้ 

12.หัวหอม มีสาร sulfoxides และ disulfides ซึ่งทำอันตรายต่อเม็ดเลือดแดง

13.ไข่ดิบ มีสาร Avidin ที่ลดการซึมซับไบโอติน(วิตามินบีชนิดหนึ่ง)และทำให้เกิดผลเสียต่อขนและผิวหนัง

14.ปลาดิบ ทำให้เกิดการขาดวิตามินบี Thiamine และไม่อยากอาหาร อาจทำให้ชักหรือในกรณีที่รุนแรงมาก อาจถึงตายได้ 

15.ของหวาน ทำให้อ้วนผิดปกติ มีปัญหาโรคในปาก เป็นเบาหวานได้ 

16.บุหรี่ มีสารนิโคตินที่เป็นอันตรายต่อระบบย่อยอาหารและระบบประสาท หัวใจเต้นเร็ว หมดสติ โคม่า และ ตายได้ 

17.อาหารแมว มีโปรตีนและไขมันมากเกินไปสำหรับสุนัข



วันพฤหัสบดีที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

โรคร้ายที่ควรพึงระวัง


โรคหลอดลมอักเสบติดต่อในสุนัข (Canine Infectious Tracheobronchitis)

      ลักษณะสำคัญที่เห็นได้ชัดในโรคนี้คือ อาการไอแห้ง และลึก สุนัขจะแสดงอาการเหมือนมีอะไรติดคอ และพยายามจะขย้อนออกมา มักเกิดได้บ่อยในที่ที่มีสุนัขรวมกันมากๆ เช่น สถานเพาะพันธุ์สุนัข, โรงพยาบาลสัตว์, สถานรับเลี้ยงสัตว์ ฯลฯ จึงมีชื่อเรียกทั่วไปว่า Kennel Cough โรคนี้ไม่มีความรุนแรงนัก แต่ทำให้เจ้าของสุนัขไม่สบายใจได้ เนื่องจากสุนัขจะไอบ่อย และถี่มาก อย่างไรก็ตาม โรคนี้จะเป็นอันตรายต่อสุนัข ในกรณีที่ไม่ได้รับการรักษาแล้วมีอาการแทรกซ้อนเกิดขึ้น ซึ่งอาจทำให้สุนัขตายได้

    มีข้อควรระวังอยู่ว่า เมื่อสุนัขไอไม่ได้หมายถึง โรคหลอดลมอักเสบติดต่อ เสมอไป การวินิจฉัยแยกโรคต้องอาศัย อาการ และปัจจัยอื่นๆ มาประกอบกัน สาเหตุอื่นๆ ที่ทำให้สุนัขไอได้ เช่น โรคไข้หัด, การติดเชื้อพยาธิ, โรคที่เกิดจากรา และโปรโตซัว ฯลฯ

    สาเหตุที่ทำให้เกิดโรค

    เชื้อที่ทำให้เกิดโรคนี้ได้มีความหลากหลายมาก อาจเกิดจากการติดเชื้อไวรัส และแบคทีเรียหลายชนิดร่วมกัน หรือติดเชื้อชนิดเดียวก็ได้ ตัวอย่าง เช่น Parainfluenza virus, Adenovirus type II, Bordetella bronchiseptica bacteria โดยเชื้อจะเข้าสู่สุนัขทางการหายใจ

    อาการ

    กรณีที่เป็นเพียงเล็กน้อย อาการที่พบ คือ ไอแห้ง และลึก อาการขั้นต่อมา เชื้อโรคจะทำให้ไอลึกอย่างรุนแรง และมีน้ำมูก น้ำตาไหลด้วย สุนัขจะแสดงอาการเหมือนมีเศษอะไรติดคอ และพยายามขย้อนออก แต่ไม่มีอะไรออกมา การไอจะไอถี่ และกินเวลานาน

   ความรุนแรงของโรค

    โรคนี้ไม่มีความรุนแรงนัก แต่สามารถระบาดได้อย่างรวดเร็ว สุนัขปรกติจะไม่ตายจากโรคนี้ อย่างไรก็ตาม ต้องระวัง โรคแทรกซ้อนอื่นๆ ที่จะตามมาเนื่องจากภูมิคุ้มกันของสุนัขลดลง โรคเหล่านี้อาจทำให้สุนัขตายได้ เช่น ปอดบวม, โรคไข้หัด ฯลฯ

    การรักษา

    เชื้อที่เป็นสาเหตุของโรคนี้มีชนิด ถ้าโรคเกิดจากแบคทีเรีย การรักษาจะได้ผลเมื่อให้ยาปฏิชีวนะ แต่ถ้าเกิดจากไวรัส ในปัจจุบัน ยังไม่มีวิธีรักษาที่ได้ผลดี ต้องคอยรักษาตามอาการ จนกระทั่ง ระบบภูมิคุ้มกันของสุนัขสามารถขจัดเชื้อออกไปได้เอง ส่วนใหญ่จะใช้เวลาประมาณสองสัปดาห์ แต่สัตวแพทย์อาจให้ยาบรรเทาอาการไอ เพื่อลดอาการระคายเคืองที่จะเกิดขึ้น และทำให้สุนัขเงียบลงไปได้บ้าง

    การป้องกัน

    1) นำสุนัขไปหยอดวัคซีนป้องกันโรคนี้เข้าทางจมูก

    2) จัดที่อยู่ของสุนัขให้สะอาด และมีอากาศถ่ายเทได้สะดวก และควรทำความสะอาดด้วยยาฆ่าเชื้อที่มีประสิทธิภาพในการทำลายไวรัส และแบคทีเรีย

    3) กรณีที่สุนัขต้องไปอยู่ในที่ที่มีโอกาสติดเชื้อได้ง่าย ควรให้วัคซีนป้องกันไว้ก่อน

โรคขี้เรื้อยเปียก

    ปัญหาสุขภาพของสัตว์เลี้ยงบางเรื่องสร้างความท้อใจให้ผู้เลี้ยงอย่างที่คาด ไม่ถึงครับ เนื่องจากเวลาเราซื้อสุนัขมาเลี้ยง หรือคนอื่นยกให้ก็ตาม ผู้เลี้ยงใหม่มักไม่ทราบว่าอาจมีโรคภัยไข้เจ็บที่เป็นแล้วรักษายากติดตัว สุนัขมาด้วย เมื่อเค้าป่วยและได้รับการตรวจวินิจฉัยแล้ว

    โรคเรื้อนเปียก หรือโรคเรื้อนในรูขุมขน เป็นโรคผิวหนังที่เกิดจากไร เป็นปรสิตภายนอกที่อาศัยในรูขุมขนของสุนัข ปรกติแล้วไรขี้เรื้อนเปียกสามารถขูดพบได้ในหมาตัวที่ปรกตินะครับ เพียงแต่โอกาสที่เจอนั้นน้อย และไม่อยู่ภาวะที่ก่อให้เกิดรอยโรคได้ กลไกในการเกิดที่ว่านี้ยังไม่ทราบสาเหตุแน่ชัด เท่าที่ค้นคว้าในปัจจุบันระบุว่าหมาตัวที่ป่วยเป็นโรคนี้มีความผิดปรกติของ เม็ดเลือดขาวชนิด T - cell และยังมีระดับของอินเตอร์ลิวคิน-2
ต่ำกว่าหมาปรกติ เจ้าสารอินเตอร์ลิวคิน-2 เป็นสารชีวเคมีที่ร่างกายของสุนัขมีอยู่ทุกตัว มันทำหน้าที่กระตุ้นให้เกิดปฏิกิริยาทางภูมิคุ้มกัน

เพราะเมื่อสารนี้หลั่งออกมาจะเกิดการกระตุ้นให้มีการเพิ่มจำนวนเซลล์ภูมิคุ้มกัน เพิ่มระดับการทำงาน เพิ่มการสร้างภูมิคุ้มกัน
แต่ถ้าสารที่ว่านี้ลดต่ำลงเมื่อใด เจ้าไรขี้เรื้อนในรูขุมขนจะเริ่มเพิ่มจำนวนขึ้น และตัวมันเองยังเป็นตัวการสำคัญที่จะผลิตสารชีวเคมีซึ่งทำให้เกิดปัญหาการกด เซลล์ภูมิคุ้มกันด้วย
คราวนี้เลยมีช่องทางให้เจ้าเชื้อโรคเพื่อนเกลอ คือแบคทีเรียเข้ามาร่วมก่อเสียหายด้วย สุนัขตัวที่ป่วยเป็นโรคเรื้อนเนื้อตัวจึงเละตุ้มเป๊ะในพื้นที่เกิดรอยโรค

อาการของโรคเรื้อนเปียกมีหลายรูปแบบ

อาการเรื้อนเปียกแบบเฉพาะที่ มักพบที่บริเวณแก้ม เหนือคิ้ว ขาหน้า โดยหมามีขนร่วง ผิวหนังแดง คันและเกา มีแผลอักเสบเป็นตุ่มแดงๆ เล็กๆ ตามปรกติแล้วรอยโรคจะเกิดขึ้นเอง และจะหายไปเองได้ภายใน 3-8 สัปดาห์

แต่ถ้ามีอาการอักเสบมีตุ่มหนองด้วยต้องรีบพาสุนัขมารับยารักษาอย่างต่อ เนื่องจนกว่าจะหาย ตามปรกติแล้วมีสุนัขประมาณ 10 เปอร์เซ็นต์ที่มีโอกาสป่วยเป็นโรคเรื้อนเปียกแบบเฉพาะที่ แล้วพัฒนาเป็นแบบกระจายตัวทั่ว

เจ้าของควรหมั่นพาสุนัขของท่านไปตรวจรักษาตามที่สัตวแพทย์แนะนำครับ
อาการเรื้อนเปียกแบบกระจายเป็นบริเวณกว้าง มักพบว่าหมาตัวที่เป็นมีการอักเสบของผิวหนังรุนแรงมาก มีขนร่วง มีตุ่มหนองแตกออก เป็นแผลคันเกา รอยโรคพบได้ตั้งแต่ส่วนของใบหน้า ลำตัว ขา และเท้า เรียกว่ามีอาการอักเสบของรูขุมขนจนมีเลือดออก มีหนองไหลแตกออกมาจากตุ่มที่ติดเชื้อนั้นล่ะครับ

รอยโรคที่เป็นแล้วถือว่ารุนแรงและรักษาได้ยาก คือ เมื่อเป็นทั่วตัวแล้ว เกิดการอักเสบมากที่ผิวหนังส่วนของเท้า สุนัขที่ป่วยเป็นโรคเรื้อนเปียกที่ลามลงไปถึงที่เท้านั้นมีอาการเท้าบวม เป็นตุ่มเลือดแตกออก กระจายไปทั่วเท้าซึ่งสัตว์จะทรมาน เจ็บปวดมากทีเดียว

การตรวจวินิจฉัย 

     โรคเรื้อนเปียกจำเป็นต้องพาสุนัขไปตรวจ เพื่อให้คุณหมอขูดเอาผิวหนังส่วนที่ลึกถึงชั้นรูขุมขนไปตรวจ เมื่อเก็บตัวอย่างผิวหนังได้ สัตวแพทย์จะใช้กล้องจุลทรรศน์ส่องตรวจดูตัวอย่างของผิวหนังซึ่งอาจจะเป็น หนองหรือเลือด เวลาพบว่าสุนัขป่วยเป็นโรคเรื้อนเปียกมักสังเกตเห็นตัวเรื้อนในตัวอย่างของ ผิหนัง ว่ามีมากมายหลายตัวและกำลังอยู่ในภาวะที่เพิ่มจำนวนขึ้น เช่น พบตัวเรื้อนตัวแก่ ตัวอ่อน พบไข่ อย่างนี้ล่ะครับที่เรียกว่ากำลังสร้างปัญหาสุขภาพให้สุนัขอย่างมาก
การรักษา เรื่องนี้ล่ะครับเป็นปัญหา อย่างที่ทราบกันดีว่า
โรคนี้เป็นโรคผิวหนังที่ต้องใช้เวลารักษานานมาก
ยิ่งในรายที่เป็นแบบกระจายไปทั่วตัว บางรายอาจต้องให้ยานานกว่า3-8เดือนและต้องได้รับการตรวจเป็นระยะ อย่างเช่น สุนัขตัวที่ป่วยเป็นโรคเรื้อนเปียกแบบกระจายไปทั่วตัว และเป็นที่ฝ่าเท้านั้น ใช้เวลารักษานานและต้องให้ยาอย่างต่อเนื่อง ท่านอาจถามต่อว่าโรคนี้หายขาดไหม แต่เดิมเชื่อกันว่า รักษาไม่หาย

ปัจจุบันยารักษามีประสิทธิภาพดีขึ้น สุนัขป่วยเป็นเรื้อนเปียกแบบกระจายทั่วตัวมีโอกาสหายขาดได้ จะมีในบางรายเท่านั้นที่ต้องให้ยาควบคุมไปตลอด และมีโอกาสกลับมาเป็นได้อีกหลังจากหยุดให้ยา เมื่อสุนัขรับยาจนไม่มีอาการผิดปรกติอะไรแล้ว ต้องพาสุนัขมาขูดผิวหนังตรวจซ้ำอีกครั้ง ว่ามีตัวเรื้อนเปียกอีกหรือไม่ในรอยโรคเดิม ซึ่งต้องขูดตรวจอย่างน้อย 5 จุดของร่างกายเพื่อให้ผลยืนยันได้อย่างชัดเจน ถ้าขูดผิวหนังตรวจแล้วไม่พบ หลังจากที่หยุดยานานกว่า 2 เดือนนั่นแสดงว่าสุนัขหายจากโรคนี้แล้ว อย่างไรก็ตาม สุนัขตัวที่ป่วยเป็นโรคเรื้อนเปียกเจ้าของต้องหมั่นพาไปตรวจร่างกายครับ แต่ถ้าเริ่มมีตุ่มคล้ายสิวขึ้นแบบกระจายตัว ขนเริ่มร่วง และสุนัขคันเกาต้องรีบพาไปพบสัตวแพทย์ทันที

โรคขี้เรื้อยแห้ง

       ปัญหาที่มักถามกันมากก็คือ เจ้าตูบแสนรักจะไปติดโรคนี้ได้อย่างไร ทั้งๆ ที่เลี้ยงอยู่แต่ในบ้าน เหตุที่ว่า  เกิดได้จากการเล่น สัมผัสและคลุกคลีกับตัวที่ป่วยเข้าจนเกิดการถ่ายทอดเจ้าไรตัวนี้ต่อกันไป ที่สำคัญอีกประการคือเรื่องของสภาพแวดล้อมครับ ในบ้านเมืองของเรามีสุนัขจรจัดเยอะ เรียกว่าเดินไปตรอกไหน ซอกไหน ซอยไหนมีอันต้องได้เจอ
นี่เองแหละครับที่ช่วยกระตุ้นให้เกิดการแพร่กระจายของโรคได้เร็วและต่อ เนื่อง สุนัขที่ป่วยเป็นโรคนี้จะมีอาการคันมาก และเมื่อคันเกาบริเวณที่เป็นรอยโรคจะมีชิ้นส่วนของสะเก็ดผิวหนังที่ปลิว กระจายล่วงออกมาจากตัวสุนัข หากสุนัขอีกตัวไปนอนทับหรือเกลือกกลิ้งย่อมมีโอกาสจะติดเชื้อ จนอาจป่วยเป็นโรคเรื้อนแห้งได้ เนื่องจากเจ้าไรขี้เรื้อนนี้มีชีวิตได้นานกว่า 2 วัน

เมื่อหลุดร่วงจากผิวหนังของสุนัขตัวที่ป่วยยิ่งเพิ่มโอกาสที่จะไปติดต่อกับ สุนัขตัวอื่นได้มากขึ้น เพราะฉะนั้นถึงแม้ท่านไม่ได้พาสัตว์เลี้ยงออกไปนอกบ้าน แต่ถ้าสุนัขของเราชอบนอนใกล้รั้วบ้าน และหากรอบๆ บ้านมีสุนัขจรจัดตัวที่ป่วยเป็นโรคขี้เรื้อนแห้งอาศัยอยู่ ย่อมมีโอกาสติดโรคได้เช่นกันครับ

อาการของสุนัขตัวที่ป่วยเป็นโรคขี้เรื้อนแห้ง 

   เริ่มต้นจะมีอาการคันตัว คันที่ขอบใบหูทั้งสองข้างและคันที่ศอกด้านข้าง ถ้าสังเกตให้ดีจะพบเม็ดตุ่มแดงๆ ขึ้นที่ผิวหนัง บริเวณที่เห็นชัดเจนมักเป็นที่ท้อง หรือบริเวณขาหนีบ และบั้นท้าย จากนั้นจะเริ่มมีอาการคันรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ กระทั่งขนบนตัวสัตว์เริ่มร่วง ตำแหน่งที่พบชัดเจน คือที่ขอบใบหูสองข้าง และศอกด้านข้าง ผิวหนังบริเวณดังกล่าวเริ่มเป็นสะเก็ดแผลที่หนาตัวขึ้น เมื่อแผลนั้นเริ่มแตกออกมากขึ้นเรื่อยๆ อาการขนร่วงจะค่อยๆ แพร่กระจายไปทั่วตัว ทีนี้สะเก็ดแผลบนผิวหนังจะเริ่มเกิดขึ้นทั่วตัวเช่นกัน เจ้าสุนัขหนังกลับที่เราเห็นข้างถนนนั่นล่ะครับ คือสุนัขที่ป่วยเป็นโรคขี้เรื้อนแห้ง

การตรวจวินิจฉัย 

  ในเบื้องต้นเราควรสังเกตอาการของสัตว์เลี้ยงของเราเองก่อนครับ ซึ่งการทดสอบที่ได้ผลค่อนข้างแม่นยำในการตรวจโรคนี้ เรียกว่า การทำ Pinna-pedal reflex test การทดสอบทำได้ง่ายมาก เวลาที่สุนัขป่วยเป็นโรคขี้เรื้อนแห้งจะมีตำแหน่งที่คันมากๆ อยู่ 2 จุดดังที่กล่าวมา คือที่ปลายใบหูสองข้างนั้น และที่ข้อศอกด้านข้าง ถ้าเราจับสุนัขมาทดสอบโดยการเอานิ้วมือขยี้ที่ปลายใบหูเบาๆ แล้วสุนัขเอาเท้าหลังข้างนั้นเกาที่ศอกด้านนั้น

ก็น่าสงสัยครับว่าทำไมสุนัขของเราถึงคันได้ เพราะอาการดังกล่าวแสดงว่าสัตว์คันมากที่ปลายใบหู และที่ศอกด้วย และโรคผิวหนังที่จะเกิดขึ้นได้มีไม่กี่โรคหรอกครับ ที่สำคัญคือโรคขี้เรื้อนแห้งนี่แหละครับ แต่การที่เราจะสรุปปัญหาการป่วยว่าใช่โรคขี้เรื้อนแห้งหรือไม่นั้น

คงต้องอาศัยองค์ประกอบหลายประการร่วมกัน ไม่ว่าจะเป็นรอยโรคที่ปรากฏ การทดสอบทำ Pinna-pedal reflex test การขูดผิวหนังเก็บตัวอย่างเพื่อตรวจหาตัวไรขี้เรื้อน ทุกอย่างจะสอดคล้องกันแม้ว่าการขูดผิวหนังเพื่อหาไรขี้เรื้อนอาจจะไม่พบ เพราะถ้าอยู่ในระยะเริ่มต้นมักจะขูดผิวหนังไม่พบเสียด้วยซิครับ
การรักษาโรคขี้เรื้อนแห้ง สามารถทำได้หลายวิธีครับ ที่นิยมกระทำ คือ การให้ยาโดยการฉีดเพื่อรักษา ซึ่งได้ผลดีแต่ก็ต้องทำซ้ำทุกๆ 10-14 วันครั้งจนกว่าสุนัขจะหายสนิท ในกรณีที่เราเลี้ยงสุนัขไว้หลายตัว

เราต้องพาสัตว์เลี้ยงทุกตัวมารับการรักษาด้วย เพราะโรคนี้ติดต่อได้ง่ายและติดต่อได้ไวมาก ถ้าเราไม่สนใจนำสุนัขมารับการรักษาพร้อมๆ กันจะทำให้เกิดปัญหาการป่วยวนเวียนอยู่ในฝูงสุนัข เพราะเมื่อตัวที่เป็นหาย ตัวที่ได้รับเชื้อจะเริ่มแสดงอาการอีก และถ้ายาเสื่อมฤทธิ์เมื่อไหร่ สุนัขจะเริ่มมีอาการป่วยอีกเช่นกัน เจ้าตัวที่ป่วยเป็นโรคขี้เรื้อนแห้งนั้นมีความน่ารังเกียจอยู่แล้วครับ

โรคนี้ติดต่อจากการสัมผัสกับสัตว์เลี้ยงที่ป่วยอยู่นั่นแหละ เพราะฉะนั้นเมื่อท่านทราบว่าสุนัขของเราป่วยเป็นโรคนี้ ควรหยุดกอดและคลุกคลีกับสัตว์เลี้ยงไว้ก่อน โดยเฉพาะคุณผู้หญิงที่ผิวค่อนข้างบอบบาง ควรหยุดกอดรัด หรืออุ้มเจ้าตัวน้อยเลยครับ โรคที่ติดมาสู่คนนั้นจะมีลักษณะเป็นเม็ดตุ่มแดงๆ ขึ้นบนผิวหนัง มีอาการคัน และกระจายออกไปได้ ซึ่งถ้ามีอาการเช่นนี้ให้รีบไปหาแพทย์เพื่อรับการรักษาอย่างทันท่วงทีครับ

โรคนิ่วในสุนัข (หมา)

    โรคนิ่ว จะเรียกภาวะรวมถึงการมีก้อนนิ่ว หรือมีปริมาณของ Crystal ในระบบทางเดินปัสสาวะ
ซึ่งโรคนิ่วมักจะสัมพันธ์กับโรค หรืออาการในระบบทางเดินปัสสาวะต่างๆเช่น กระเพาะปัสสาวะอักเสบ
( Cystitis ) ท่อปัสสาวะอักเสบ ( Urethritis) นิ่วในไต ( Kidney Stone ) นิ่วในกระเพาะปัสสาวะ
( Bladder Stone ) เช่นเดียวกับในคน 
      นิ่วสามารถเกิดได้ในทุกส่วนของระบบทางเดินปัสสาวะ โดยนิ่วที่เกิดขึ้นในระบบทางเดินปัสสาวะ ดังกล่าวจะระคายเคืองต่อเยื่อบุทางเดินปัสสาวะ ทำให้เกิดความเจ็บปวด ในบางกรณีก้อนนิ่วอาจขวางทางเดินปัสสาวะ ให้เกิดปัสสาวะขัด
หรือปัสสาวะด้วยความเจ็บปวด และปัสสาวะไม่ออก จนทำให้กระเพาะปัสสาวะแตกซึ่งเป็น
อันตรายถึงตายได้นิ่วชนิดต่างๆที่พบได้มากในสุนัข

Magnesium Ammonium Phosphate (struvite

  เป็นนิ่วชนิดที่พบได้บ่อยที่สุดในสุนัข โดยมาก
มักเกิดสัมพันธ์กับการเกิดการติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะ โดยแบคทีเรียชนิดที่เปลี่ยนยูเรียในปัสสาวะให้กลายเป็น Ammonia และอยู่ภายใต้สภาวะ
แวดล้อมที่เป็น ด่าง มีความอิ่มตัวของสารที่เป็นองค์ประกอบอื่นๆ และการมีโภชนาการที่ไม่เหมาะสม
ซึ่งสภาพเหล่านี้ล้วนทำให้เกิดนิ่วที่มี Struvite และกลุ่มของ Calcium Phosphate
(Carbonate และ Hydroxyl Form) ได้

Calcium Phosphate

       เป็นนิ่วที่มักเกิดกับสุนัขที่มีอาการเกี่ยวข้องกับความผิดปกติของเมตาโบลิซึม หรือเกิดร่วมกับภาวะเช่นเดียวกับนิ่วชนิด Struvite

Calcium Oxalate

       เป็นนิ่วที่พบได้น้อยในสุนัข (แต่พบมากในคน) การเกิดนิ่วชนิดนี้เป็นผลตามมาจากความผิดปกติที่ทำให้เกิดการตกตะกอนของ Calcium Oxalate ในปัสสาวะที่มักอยู่ในสภาวะที่เป็น กรด ซึ่งมีกลไก
ในการเกิดที่ยังไม่ชัดเจน

Urate

       เป็นนิ่วที่พบได้มากที่สุดในสุนัขพันธุ์ดัลเมเชี่ยน นอกจากนั้นยังพบในพันธุ์อื่นๆในเปอร์เซ็นต์ที่น้อยกว่า
มาก การเกิดนิ่วชนิดนี้ในสุนัขพันธุ์ดัลเมเชี่ยน เนื่องมาจากความผิดปกติของสุนัขพันธุ์นี้ที่ไม่สามารถกำจัด  Uric Acid ไปเป็น Allantoin ซึ่งเป็นสารที่ละลายได้ในปัสสาวะ โดยนิ่วชนิด Urate นี้มักเกิดในสภาวะของปัสสาวะที่เป็น กรด โดยเฉพาะอย่างยิ่งการกินอาหารที่มีปริมาณของโปรตีนสูง หรืออาหารที่มีปริมาณของ Urate มาก เช่น เครื่องในไก่ ก็จะยิ่งโน้มนำให้เกิดนิ่วชนิดนี้มากขึ้นนิ่วชนิดอื่นๆ (มีอุบัติการณ์เกิดที่ต่ำมาก)- Silica- Cystine- ตะกอนของยาบางชนิด- ฯลฯ

สาระน่ารู้เกี่ยวกับโรคนิ่วในสุนัข

- ปัสสาวะ เป็นสารละลายของสารหลายชนิด ประกอบด้วยสารที่สามารถยับยั้ง และสารที่โน้มนำให้เกิด
นิ่วได้
- การสืบประวัติของการให้อาหารสุนัข ในการวินิจฉัยสุนัขที่เป็นโรคนิ่วจะช่วยสามารถระบุสาเหตุ
ชนิดของนิ่ว ปัจจัยเสี่ยง และการป้องกันการเกิดนิ่วใหม่ได้
- การตรวจ Crystal ของสารต่างๆในปัสสาวะจากการส่องตรวจด้วยกล้องจุลทรรศน์จะมีส่วนช่วยในการ
วินิจฉัยถึงชนิดของนิ่วในทางเดินปัสสาวะได้ นอกจากนั้น ยังช่วยในการประเมินภาวะในระหว่างการรักษา
และหลังการรักษาได้เช่นกัน
- แม้ว่าความสัมพันธ์ของการพบ Crystal ในปัสสาวะ และการเกิดนิ่ว ยังไม่เฉพาะเจาะจงนักก็ตาม
อย่างไรก็ตามการพบ Crystal ของสารประกอบชนิดต่างๆในปัสสาวะก็ย่อมแสดงให้เห็นว่าเกิดการตกผลึก
(ความเข้มข้นของสารมากเกินการละลายได้) ในปัสสาวะขึ้นแล้ว
- นิ่วชนิด Urate มักมองไม่เห็นจากภาพ x-ray แม้จะพบว่ามีนิ่วจำนวนมากอุดตันอยู่ตลอดท่อทางเดิน
ปัสสาวะก็ตาม

ภาวะท้องมาน(ascites)






คือภาวะผิดปกติของเหลวสะสมคั่งค้างอยู่ในช่องท้อง
ภาวะท้องมานถูกจัดรวมอยู่ในภาวะบวมน้ำ(Edema)

ภาวะบวมน้ำ(Edema)

คือภาวะที่มีของเหลวปริมาณมากกว่าปกติคั่งค้างสะสมอยู่ในระหว่างเซลล์,เนื้อเยื่อ,ส่วนต่างๆของร่างกาย การเรียกชื่อที่เเบ่งย่อยออกไป จะเรียกตามส่วนที่เกิดการคั่งค้างของของเหลว
เช่นของเหลวสะสมคั่งค้างที่ช่องอกเรียกว่าไฮโดรธอเเรกซ์(hydrothorax)
ของเหลวสะสมคั่งค้างที่หัวใจเรียกว่าไฮโดรเพอริคาร์เดีม(hydropericardium)
ของเหลวสะสมคั่งค้างอยู่ในช่องท้องเรียกว่าท้องมาน(ascites,hydroperitoneum)
การรักษาภาวะบวมน้ำนั้นต้องรักษาที่ต้นเหตุของการเกิดภาวะ

ปัจจัยการเกิดบวมน้ำมี4ปัจจัยใหญ่ๆคือ

1.ในหลอดเลือดปกติจะมีเเรงชนิดหนึ่งซึ่งเป็นเเรงในการดึงของ เหลวเอาไว้ไม่ให้ของเหลวนั้นออกจากหลอกดเลือดไว้ได้เรียกว่าเเรงดันออสโมซิส
หากว่ามีความผิดปกติคือร่างกายมีเเรงดันมากกว่าเเรงดันออสโมซิสที่จะดึงของ เหลวไว้ให้อยู่ในหลอดเลือดไว้ได้ ของเหลวในหลอดเลือดจะหลุดออกมาคั่งค้างในร่างกายทำให้เกิดภาวะบวมน้ำได้
หรือในกรณีที่มีการอุดตันของเส้นเลือด หรือเกิดการอุดตันของเส้นเลือด
ยกตัวอย่างให้ง่ายน่ะครับ
เราเอาถุงพลาสติกที่เจาะรูที่ถี่มาก ให้ถุงนั้นเหมือนเส้นเลือด เเล้วเอาเทปใส่ปิดรูพวกนั้นไว้เปรียบเหมือนเเรงดันออสโมซิส หากเราใส่น้ำเข้าไปในถุงนั้น
หากว่าเเรงน้ำที่ใส่ไปมีความเเรงมากจนทำให้เทปใส่นั้นรับเเรงดันน้ำไม่ไหวก็จะทำให้น้ำออกมา
หรือหากเราเอาอะไรมากั้นทางเดินของน้ำเปรียบเหมือนเส้นเลือดอุดตัน เมื่อมีน้ำไหลผ่านมากๆก็จะทำให้เกิดการไหลออกของน้ำได้

2.โปรตีนที่อยู่ในหลอดเลือดนั้นจะมีผลต่อเเรงดันออสโมซิส
โดยเฉพาะโปรตีนพวกอัลบูมิน(Albumin)ซึ่งพบในไข่(Ovalbumin) ในนม(Lactalbumin) เป็นส่วนใหญ่
หากเกิดการสูญเสียโปรตีนหรือโปรตีนต่ำ จะมีผลต่อเเรงดันออสโมซิสต่ำลงด้วย ทำให้ของเหลวนั้นออกจากหลอดเลือดได้ง่าย
ตัวอย่างที่ทำให้เกิดการสูญเสียโปรตีนนอกร่างกายเช่นโรคไต(Renal edema) ภาวะการขาดสารอาหาร(Debilitation edema)
เราอาจเปรียบโปรตีนโดยเฉพาะพวกอัลบูมินเหมือน จำนวนเทปใส่ปิดถุงพลาสติกได้ครับ

3.การเกิดการเปลี่ยนเปลงคุณสมบัติหลอดเลือดเช่น การเกิดอุบัติเหตุได้รับการกระทบกระเทือนถึงหลอดเลือด หลอดเลือดเกิดการอักเสบจนไปปิดทางเดินเลือด เป็นต้น

4.การขัดขวางการไหลผ่านของขอน้ำเหลือง(Lymphatic obstruction)
ในกรณีความผิดปกติต่างๆของท่อน้ำเหลืองเช่นการเกิดเนื้องอกที่มาถึงท่อน้ำ เหลือง,การบวม-การอักเสบจนไปปิดท่อน้ำเหลือง ทำให้น้ำเหลืองนั้นหลุดออกจากเส้นเลือดได้)

โรคพยาธิหนอนหัวใจในสุนัข

     ชีพจักรของพยาธิหนอนหัวใจของสุนัขเริ่มต้นเมื่อสุนัขที่ป่วยด้วยโรคพยาธิหนอนหัวใจ ซึ่งจะมีตัวอ่อนของพยาธิหนอนหัวใจอยู่ในกระแสเลือด (microfilariae)
ถูกยุงดูดกินเลือด ทำให้ยุงได้รับเอาตัวอ่อนของพยาธิหนอนหัวใจไปด้วยเมื่อดูดกินเลือดสุนัขป่วย เป็นอาหารหลังจากนั้นตัวอ่อนของพยาธิหนอนหัวใจจะใช้ระยะเวลาภายหลังจากถูก ดูดกินจากตัวสุนัข
ประมาณ 2-3 สัปดาห์ในการพัฒนาเป็นตัวอ่อนระยะติดต่อในตัวยุงเมื่อยุ่งมีการดูดกินเลือดของสุนัขอีกครั้ง
โดยเฉพาะสุนัขที่มีสุขภาพปกติ (ไม่ได้ป่วยเป็นโรค)

ยุงจะมีการถ่ายเทตัวอ่อนระยะติดต่อที่ได้มีการพัฒนาอย่างสมบูรณ์แล้วในยุงไปยังสุนัขอีกตัวหนึ่ง
จากนั้นตัวอ่อนระยะติดต่อจะชอนไชไปตามเนื้อเยื่อต่างๆ ของสุนัข
และเจริญเติบโตต่อไปอีก 2-3
เดือนและพัฒนาเป็นตัวแก่ในที่สุดในหัวใจของสุนัขตัวใหม่ เมื่อตัวพยาธิอยู่ในหัวใจของสุนัข
และมีการเจริญเติบโตในหัวใจของสุนัข มันจะมีขนาดยาวประมาณ 14 นิ้ว
และทำความเสียหายให้กับเนือ้เยื่อหัวใจ
เนื้อเยื่อปอดและอวัยวะที่สำคัญอื่นๆ ถ้าสุนัขป่วยไม่ได้รับการรักษา
การพัฒนาของโรคจะมีความรุนแรงมากขึ้นและที่สุดสุนัขจะตายได้
คำถาม คำตอบที่มักจะพบเสมอๆ จากเจ้าของสุนัข

"สุนัขสามารถเป็นโรคพยาธิหนอนหัวใจได้หรือไม่"

สุนัขสามารถป่วยด้วยโรคพยาธิหนอนหัวใจได้ ไม่ว่าสุนัขจะอาศัยอยู่นอกบ้าน
หรือแม้แต่ภายในบ้านตลอดเวลา สุนัขสามารถติดโรคพยาธิหนอนหัวใจได้ด้วยยุง
โดยเฉพาะยุงตัวเมียที่ต้องกัดกินเลือด
ยุงจะเป็นพาหะนำพยาธิระยะติดต่อมาสู่สุนัข ยุงเพศเมียเป็นแมลงขนาดเล็ก
จึงสามารถผ่านเข้าอ่อนช่องหน้าต่าง ประตูบ้าน หรือรูต่างๆ
เข้ามาภายในบ้านได้
สุนัขทุกตัวจึงมีโอกาสติดและป่วยเป็นโรคพยาธิหนอนหัวใจได้ทุกตัว
แม้ว่าจะอยู่ในบ้านก็ตาม ถ้ายุงที่กัดมีเชื้อพยาธิอยู่
ดังนั้นในบริเวณที่มีตัวกักโรค(สุนัขที่ป่วยและไม่ได้รับการรักษา)จะเป็นตัวแพร่เชื้อให้กับสุนัข
หรือแมวตัวอื่นๆ
หรือทำให้สัตว์ตัวอื่นอยู่ในสภาวะที่เสี่ยงต่อการติดโรคพยาธิหนอนหัวใจ

"จะทราบได้อย่างไรว่าสุนัขป่วยเป็นโรคพยาธิหนอนหัวใจแล้ว"

การที่จะทราบว่าสุนัขป่วยเป็นโรคพยาธิหนอนหัวใจหรือไม่
มีหนทางเดียวคือนำสุนัขไปพบสัตวแพทย์ เพื่อการตรวจวินิจฉัยโรคนี้
การตรวจมีด้วยกันหลายวิธี ทั้งวิธีที่ง่ายจนถึงวิธีการที่มีขั้นตอนซับซ้อน
แต่ทั้งนี้ก็ใช้เวลาไม่มากก็สามารถทราบผลได้ แต่ไม่ควรรอที่จะตรวจร่างกาย
โดยเฉพาะในประเทศไทยพบมีการระบาดของโรคนี้มากพอสมควร โดยเฉพาะในเขตชุมชน
กรณีที่ทราบว่าสุนัขป่วยด้วยโรคพยาธิหนอนหัวใจแล้ว สามารถให้การรักษาได้
แต่การรักษายังไม่ถือว่าปลอดภัยสำหรับการรักษาได้อย่าง 100 เปอร์เซ็นต์
เนื่องจากผลข้างเคียงภายหลังจากการรักษา
รวมทั้งยาที่ใช้ในการรักษามีราคาค่อนข้างแพง

"เมื่อไหร่จึงควรนำสุนัขไปตรวจว่าเป็นโรคพยาธิหนอนหัวใจหรือไม่"

ยุงคือพาหะของโรคนี้ ยุงที่เป็นพาหะสามารถพบได้ตลอดเวลา
ดังนั้นสุนัขมีโอกาสติดโรคได้ตลอดเวลา
เวลาที่เหมาะสมที่จะต้องนำสุนัขไปตรวจการป่วยเป็นโรคพยาธิหนอนหัวใจจึงควรปรึกษาสัตวแพทย์
"จะสามารถป้องกันสุนัขไม่ให้ป่วยด้วยโรคพยาธิหนอนหัวใจได้อย่างไร"<

ถ้าผลการตรวจพบว่าสุนัขไม่ติดเชื้อพยาธิหนอนหัวใจ
การป้องกันโรคนี้ก็จะทำได้ง่ายๆ
ทั้งนี้ควรปรึกษาสัตวแพทย์และปฏิบัติตามคำแนะนำของสัตวแพทย์
ด้วยการจัดโปรแกรมการฉีดยาป้องกัน หรือการกินยาป้องกัน
แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดที่ต้องจำไว้เสมอ ก่อนที่จะใช้โปรแกรมการป้องกันใดๆ
ต้องนำสุนัขไปตรวจการติดเชื้อเสียก่อน

โรคแท้งติดต่อในสุนัข

สาเหตุของโรค : เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย Brucella canis (B. canis) อาจเรียกสั้น ๆ ว่าโรคบรู

    อาการของโรค :

    1. ก่อปัญหาความไม่สมบูรณ์ในพ่อและแม่พันธุ์
    2. ผสมไม่ติด
    3. ถ้ามีการตั้งท้อง ก็มักจะแท้งหลังจากการตั้งท้อง ประมาณ 45 วันขึ้นไป
    4. อาจแท้งออกมาหมดทุกตัว หรือ รอดเป็นบางตัว (แต่ลูกที่คลอดออกมามักจะตายใน 1 สัปดาห์แรกหรือ ตายก่อนหย่านม)
    5. ในเพศเมีย อาจมีหนองไหลออกจากช่องคลอดได้
    6. ในเพศผู้ ......
    6.1. ผสมไม่ติด
    6.2. อัณฑะบวมขยายใหญ่ ข้างใดข้างหนึ่งหรือทั้งสองข้าง
    6.3. อาจมีการบวมขยายใหญ่ของต่อมน้ำเหลือง หรือต่อมลูกหมาก หรือฝ่อเมื่อติดเชื้อเป็นเวลานาน
    6.4. น้ำเชื้ออสุจิจะมีคุณภาพไม่ดี

    การติดต่อ :

    1. ผ่านทางเยื่อเมือกทุกส่วนของร่างกาย น้ำจากช่องคลอด , น้ำนม , น้ำคล่ำ , เนื้อเยื่อลูก, รกที่แท้ง ออกมา , น้ำอสุจิ , ปัสสาวะ, พื้นคอก พื้นบ้าน , อาหาร ,น้ำ ดังนั้นสุนัขที่เลี้ยงรวมกันหรือเลี้ยงปล่อย ก็มีโอกาสสัมผัสสิ่งปนเปื้อนเหล่านี้
    2. ติดต่อจากการ ** ผสมพันธุ์  **

    การวินิจฉัยโรค : ควรนำสุนัขไปหาสัตวแพทย์ เพื่อตรวจวินิจฉัยโรคต่อไป

    ความสำคัญของโรคแท้งติดต่อ :

    1. สามารถติดต่อมาสู่คนได้ (zoonosis) *** กับผู้เลี้ยงที่ใกล้ชิดและดูแลสุนัข
    2. ติดต่อไปยังสุนัขตัวอื่น ๆ ในฟาร์มเดียวกัน หรือฟาร์มที่เกี่ยวข้องกัน กลายเป็นปัญหาแพร่ระบาด ยากต่อการควบคุม

  การป้องกันและควบคุมโรคแท้งติดต่อ

    1. เป็นโรคที่ไม่มียารักษา และไม่มีวัคซีนในการป้องกัน
    2. ควรตรวจเลือดพ่อ แม่พันธุ์ สุนัขอย่างน้อยทุก ๆ 6 เดือน
    3. ตรวจเลือดก่อนทำการผสมพันธุ์ทุกครั้ง สำหรับพ่อแม่พันธุ์
    4. สุนัขตัวใหม่ที่เข้าฟาร์ม ควรแยกเลี้ยงต่างหากก่อน และทำการตรวจหาเชื้อ อย่างน้อย 2 ครั้ง
    5. ห้ามจำหน่ายสุนัขที่เป็นโรคแท้งติดต่อ ไปยังฟาร์ม อื่น ๆ เพราะจะทำให้เกิดการแพร่ระบาดของโรค

    ถ้าพบสุนัขที่เป็นโรคแท้งติดต่อ ควรจะ ......

    1. ฉีดยาให้หลับ
    2. ทำหมัน แล้วแยกเลี้ยงต่างหากไม่ให้สัมผัสกับสุนัขตัวอื่น
    3. ตรวจสอบสุนัขทุกตัวที่คลุกคลีด้วยกันเป็นเวลา 3 เดือน ติดต่อกัน จนไม่พบเชื้อ




เคล็ดลับง่ายๆเพื่อสุนัข


น้องหมาพันธุ์เล็ก ... ออกกำลังกายยังไงให้ถูกวิธี









คลายเครียดน้องหมาพันธุ์เล็กด้วยการออกกำลังกายที่เหมาะสมและเสริมสร้างสุขภาพให้แข็งแรง


     เพื่อน ๆ หลายคน อาจจะกำลังเข้าใจผิด คิดว่าน้องหมาพันธุ์เล็กที่เราเลี้ยงไว้ ไม่จำเป็นที่จะต้องพาไปออกกำลังกาย ... แต่จริง ๆ แล้วน้องหมาพันธุ์เล็กก็ต้องการการออกกำลังกายเช่นเดียวกับน้องหมาพันธุ์ ใหญ่นะคะ อย่างน้องหมาพันธุ์เล็กบางสายพันธุ์เป็นน้องหมาที่ในอดีตถูกพัฒนาสายพันธุ์มาเพื่อ 'ล่าสัตว์' หรือ 'เล่นกีฬา' ดังนั้นสุนัขเหล่านี้ก็จะมีพลังงานในตัววมาก มีความตื่นตัวตลอดเวลา และชื่นชอบการออกกำลังกายเป็นอย่างยิ่ง เจ้าของจึงควรพาน้องหมาไปออกกำลังกายบ้างเพื่อเป็นการปลดปล่อยพลังงาน

     การออกกำลังกายเป็นสิ่งที่จะช่วยให้น้องหมาสร้างสมดุลในร่างกาย และมีส่วนช่วยลดพฤติกรรมซนเกินเหตุ กัดหรือแทะทำลายข้าวของ และพฤติกรรมก้าวร้าวต่าง ๆ ได้ นอกจากนี้การออกกำลังกายทำให้สุนัขมีความเชื่อมั่นในตัวเอง ไม่หวาดกลัว เมื่อถูกปล่อยให้อยู่ตามลำพัง และยังช่วยพัฒนากระดูก ข้อต่อ หัวใจ ปอดให้ทำงานได้ดีและแข็งแรงขึ้นอีกด้วยล่ะค่ะ


ความแตกต่างระหว่างการออกกำลังของน้องหมาพันธุ์เล็กกับน้องหมาพันธุ์ใหญ่

   การให้น้องหมาออกกำลังกายเป็นสิ่งที่ดีนะคะ แต่การออกกำลังนั้นต้องเหมาะกับน้องหมาของเราด้วย ... อย่างในน้องหมาพันธุ์ใหญ่ การออกกำลังกายจะช่วยเสริมสร้างกล้ามเนื้อให้แข็งแรง ควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ที่พอดี ถ้าหากไม่ได้รับการออกกำลังกายเป็นประจำ กระดูกและกล้ามเนื้อของน้องหมาก็จะไม่แข็งแรง ในอนาคตอาจทำให้กระดูกขาไม่สามารถรับน้ำหนักตัวได้ น้องหมาพันธุ์ใหญ่มีวิธีการออกกำลังกายที่ค่อนข้างหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นการวิ่งไปพร้อมกันเวลาเจ้าของปั่นจักรยาน , เล่นชักเย่อเพื่อฝึกความแข่งแรงของช่วงกราม , การให้สุนัขกระโดนดึงสปริง ฯลฯ ซึ่งกายออกกำลังกายด้วยวิธีเหล่านี้เหมาะกับลักษณะทางกายภาพและพฤติกรรมของน้องหมาพันธุ์ใหญ่

     ส่วนการออกกำลังของน้องหมาพันธุ์เล็ก ซึ่งด้วยขนาดของร่างกายและพลังงานในร่างกายมีน้อยกว่าน้องหมาพันธุ์ใหญ่มาก ดังนั้นผู้เลี้ยงจึงต้องเลือกวิธีการออกกำลังกายที่เหมาะสมกับลักษณะทางกายภาพของน้องหมาพันธุ์เล็กด้วย เช่น การออกกำลังกายโดยการเล่นโยนลูกบอล , เล่นซ่อนแอบสิ่งของ , การวิ่งเบาๆ ฯลฯ การออกกำลังกายเป็นการช่วยให้น้องหมาได้เผาผลาญพลังงาน และช่วยลดความเครียดในสุนัข การที่น้องหมาไม่ได้ออกกำลังกายเลยหรือได้ออกกำลังกายน้อย จะทำให้กล้ามเนื้อลีบ เสี่ยงกับการเป็นโรคอ้วน และอาจส่งผลถึงสุขภาพจิตของน้องหมา อาจมีพฤติกรรมก้าวร้าว และอาจมีปัญหาด้านอารมณ์อีกด้วย

การออกกำลังกายของน้องหมาพันธุ์เล็ก

     น้องหมาพันธุ์เล็กจะไม่เน้นการออกกำลังกายหรือกิจกรรมที่หักโหมมากเกินไป เช่น การเล่นชักเย่อ การดึงสปริง หรือการให้เล่นเอเฟรม ที่มีความสูงมากๆ เพราะน้องหมาจะตกลงมา และอาจส่งผลทำให้น้องหมาได้รับบาดเจ็บ เช่น ขาหัก หรือทำให้มีอาการเจ็บป่วยเรื้อรัง เช่น เป็นโรคสะบ้าเคลื่อนได้ เราควรจะหากิจกรรมหรือการออกกำลังกายที่ง่ายๆ เบาๆ ให้น้องหมาพันธุ์เล็กเล่น โดยการออกกำลังกายนั้นควรทำอย่างสม่ำเสมอ และทำภายใต้การควบคุมของเจ้าของ เมื่อเจ้าของฝึกให้น้องหมาออกกำลังกายเป็นประจำ นาฬิกาชีวิตของน้องหมาจะจดจำเองว่าเมื่อถึงเวลาออกกำลังกาย น้องหมาก็จะเต็มใจและเตรียมพร้อมที่จะไปออกกำลังกายเอง โดยที่เจ้าของไม่ต้องบังคับเลยล่ะค่ะ



จุดสังเกต

     การเล่นตุ๊กตาหรือของเล่น เจ้าของต้องสอนให้น้องหมารู้จักของเล่นของตัวเอง เพราะเป็นการฝึกไม่ให้น้องหมาของเราไปกัดหรือทำลายข้าวของภายในบ้าน โดยเราควรจะเลือกซื้อของเล่นมาให้น้องหมาประมาณ 4-5 ชิ้น แล้วสลับสับเปลี่ยนให้น้องหมาเล่นวันละ 1 อย่างไปเรื่อย ๆ สิ่งที่ห้ามเด็ดขาดเลยก็คือ การวางของเล่นของน้องหมาทุกชิ้นที่มี ให้เล่นไปพร้อมๆ กัน เพราะน้องหมาจะรู้สึกเบื่อ แล้วหันไปกัด แทะ ทำลายข้าวของในบ้านแทนของเล่นที่มีอยู่ การสลับสับเปลี่ยนจะทำให้น้องหมารู้สึกว่าตัวเองมีของเล่นใหม่ๆ ทุกวัน และอีกสิ่งหนึ่งที่สำคัญคือ ห้ามวางของเล่นทิ้งไว้ให้น้องหมา แต่เจ้าของต้องคอยควบคุมเวลาน้องหมาเล่นของเล่น เมื่อถึงเวลาเลิกให้เก็บของเล่นทันที เจ้าของจะต้องเป็นผู้ควบคุมการเล่นของน้องหมาเท่านั้น น้องหมาจะไม่สามารถเล่นของเล่นได้ถ้าเจ้าของไม่อนุญาต




การออกกำลังกายกลางแจ้ง

     การพาน้องหมาออกไปวิ่งที่สวนสาธารณะ ในช่วงแรกๆ เจ้าของควรจะพาไปวันละ 1-2 ครั้ง ครั้งละ 15 นาที ไม่ควรนานเกินกว่านี้ เพราะถ้าหักโหมเกินไปก็อาจจะเป็นอันตรายได้ และเจ้าของไม่ควรให้น้องหมาวิ่งตามใจตัวเองตั้งแต่วันแรกโดยไม่ควบคุมเวลา เพราะวันต่อไปน้องหมาอาจจะดื้อจนควบคุมไม่ได้

     เจ้าของที่พาน้องหมาออกไปวิ่งควรจะใส่สายจูงให้น้องหมาด้วย เพราะถ้าน้องหมาได้อิสระอย่างเต็มที่ น้องหมาก็อาจจะวิ่งไปทั่ว อย่างในกรณีที่เจ้าของพาออกไปเดินเล่นริมถนน ก็อาจจะทำให้น้องหมาถูกรถเฉี่ยวชนได้ หรือในกรณีที่พาไปในบริเวณสนามหญ้ากว้างๆ ก็อาจจะทำให้เรียกตัวน้องหมากลับมาได้ยาก นอกจากนี้ การใส่สายจูงยังช่วยป้องกันอันตรายที่น้องหมาพันธุ์เล็กอาจได้รับจากน้องหมาแปลกหน้าด้วย


ข้อดีของการใช้สายจูง

     นอกจากนี้ การใช้สายจูงเป็นการกระชับความสัมพันธ์ระหว่างน้องหมากับเจ้าของ และยังเป็นการให้เขารู้คำสั่งที่เราใช้ในการควบคุม แสดงให้รู้ว่าใครที่เป็นจ่าฝูง แรกๆ น้องหมาอาจจะดึงหรือฝืนเมื่อเราเริ่มจูงใหม่ๆ แต่น้องหมาจะค่อย ๆ ลดอาการฝืนลง และน้องหมาจะเดินไปพร้อมกับเจ้าของได้เอง

การออกกำลังกายของน้องหมาที่แก่แล้ว

     เมื่อน้องหมาของเพื่อนๆ เริ่มมีอายุมากขึ้น การออกกำลังกายเป็นประจำ อาจจะไม่เหมาะกับน้องหมาแล้ว เพราะเมื่อน้องหมาอายุมากขึ้นจะสังเกตเห็นได้ว่า น้องหมาจะเหนื่อยง่ายขึ้น ข้อต่อก็อาจจะไม่แข็งแรงเหมือนเดิม อาจเกิดอาการเจ็บปวดได้ ทำให้น้องหมาของเรามีความรู้สึกไม่อยากออกกำลังกายอีก และเมื่อน้องหมาไม่ออกกำลังกาย จึงอาจทำให้มีโรคอื่น ๆ ตามมาอีก เช่น โรคอ้วน ระบบหมุนเวียนโลหิต ระบบย่อยอาหาร รวมทั้งข้อต่อต่าง ๆ เจ้าของควรพาน้องหมาออกไปเดินสูดอากาศบ้าง อย่างน้อยวันละครั้ง ใช้เวลาแค่เพียงสั้นๆ แต่บ่อยครั้ง และไม่ควรพาน้องหมาออกไปเดินเล่นในขณะที่มีสภาพอากาศร้อนจัด


ข้อแนะนำ

     เพื่อนๆ ไม่ควรจะพาน้องหมาไปเดินหรือวิ่งเล่นบนสนามหญ้าเพียงที่เดียวซ้ำๆ  แต่ควรจะพาไปวิ่งเล่นบนพื้นซีเมนต์ คอนกรีตบ้าง เพื่อเป็นการลับเล็บของน้องหมาให้สั้นลงด้วยวิธีธรรมชาติ



สร้างวินัยภายในบ้านให้น้องหมาด้วยการ "จัดที่นอน"

จะเลี้ยงน้องหมาพันธุ์เล็กไว้ในบ้าน ควรจัดที่นอนให้เขายังไงดีนะ?









     สำหรับเพื่อนๆ ที่เลี้ยงน้องหมาสายพันธุ์เล็ก โดยส่วนใหญ่แล้วก็มักจะเลี้ยงพวกเขาไว้ในบ้านใช่ไหมคะ ... เพราะด้วยความที่พวกเขาตัวเล็ก ดูบอบบางน่าทะนุถนอม ผู้เลี้ยงส่วนใหญ่จึงเลี้ยงเขาเอาไว้ใกล้ๆ ตัว เพื่อที่จะได้ง่ายต่อการดูแล

     เพื่อนๆ บางคนอาจจะอนุญาตให้น้องหมาขึ้นมานอนบนเตียงกับเจ้าของได้ ในผู้เลี้ยงที่อนุญาตให้น้องหมานอนด้วยเป็นประจำ อาจมีสิ่งที่เพื่อนๆ จะต้องระวัง เช่น ในเรื่องของความสะอาด เห็บหมัด หรือเส้นขนของน้องหมาที่หลุดร่วงบนที่นอนอาจมีผลทำให้เกิดโรคภูมิแพ้ได้ ไม่เพียงแค่นั้นการให้น้องหมานอนบนที่นอนเดียวกับผู้เลี้ยงยังอาจจะทำให้น้องหมาเข้าใจลำดับของตัวเองในครอบครัวผิดๆ โดยอาจเข้าใจว่าตัวเองนั้นมีลำดับในครอบครัวเทียบเท่ากับผู้เลี้ยง ซึ่งในระยะยาวก็อาจจะทำให้น้องหมารู้สึกไม่เคารพผู้เลี้ยงและอาจถูกน้องหมายึดเตียงนอนเอาไว้เป็นอาณาเขตของตัวเอง นอกจากนี้การให้น้องหมาตัวเล็กๆ นอนบนเตียงอาจจะทำให้เกิดอันตรายที่คาดไม่ถึงได้ เช่น ด้วยขนาดตัวที่เล็กอาจทำให้ผู้เลี้ยงเผลอนอนทับน้องหมาโดยไม่รู้ตัว หรือนอนหมาอาจจะพลัดตกเตียงทำให้ขาหักได้ เป็นต้น

     จะเห็นได้ว่าการให้น้องหมาตัวเล็กๆ นอนกับผู้เลี้ยงนั้น มีสิ่งที่ต้องระวังและข้อเสียหลายๆ อย่าง ดังนั้น เพื่อความปลอดภัยของทั้งผู้เลี้ยงและน้องหมา รวมไปถึงเพื่อเป็นการฝึกนิสัยที่ดีมีระเบียบวินัย ผู้เลี้ยงจึงควรจัดที่นอนที่เหมาะสมเอาไว้ให้น้องหมาค่ะ ...

การจัดที่นอนให้น้องหมา

     สิ่งที่สำคัญในการจัดที่นอนให้น้องหมาก็คือ การแบ่งสัดส่วนพื้นที่ที่นอนที่ชัดเจน เพราะว่าการเลี้ยงน้องหมาพันธุ์เล็กไว้ในบ้านนั้น สมาชิกในครอบครัวก็ต้องคลุกคลีกับน้องหมาอยู่แล้ว การจัดให้น้องหมานอนเป็นที่ ก็จะทำให้ดูแลความสะอาดได้ง่าย และยังเป็นอีกหนึ่งวิธีที่จะฝึกให้น้องหมาเรียนรู้สึกพื้นที่ของเขาเองว่ามีขอบเขตจำกัดแค่ไหน ... เอาละ !! เรามาดูหลักการจัดที่นอนให้น้องหมาพันธุ์เล็กที่เลี้ยงไว้ภายในบ้านกันเลยดีกว่าค่ะ

อยากให้น้องหมานอนในกรง ...

     การให้น้องหมานอนกรงเป็นการจำกัดพื้นที่ให้น้องหมาที่ดีอีกวิธีหนึ่ง ถ้าหากผู้เลี้ยงฝึกให้น้องหมานอนในกรงตั้งแต่เล็กๆ น้องหมาจะเรียนรู้ว่าที่นอนของเขาจะอยู่ในกรง เมื่อนาฬิกาชีวิตเขาหมุนมาถึงเวลานอน เขาก็จะเข้าที่นอนได้เองโดยอัตโนมัติ

     การเตรียมพร้อมสำหรับให้น้องหมาตัวเล็กๆ นอนกรงนั้น จะต้องเตรียมเบาะนอน หรือผ้านวมที่ไม่ใช้แล้วมาปูรองให้น้องหมานอนก่อนค่ะ เพราะพื้นของกรงเป็นตะแกรงอาจจะทำให้น้องหมารู้สึกเจ็บและรู้สึกไม่สบายตัวเวลานอน ในกรณีที่พื้นของกรงเป็นไม้ พื้นไม้อาจจะเย็น อาจจะทำให้น้องหมาป่วยได้ และควรติดตั้งขวดให้น้ำเอาไว้ในน้องหมาด้วย ทั้งนี้ ที่ให้เลือกใช้แบบที่ให้น้ำแบบขวดที่สามารถติดกับกรงได้ เพราะถ้าหากนำน้ำใส่ชามไว้ให้น้องหมา น้องหมาอาจจะทำน้ำหกระหว่างที่นอนอยู่ในกรงได้

การเลือกกรงให้น้องหมา

     สำหรับการเลือกกรงให้น้องหมาพันธุ์เล็กนั้นมีีวิธีพิจารณาง่ายๆ ดังนี้ค่ะ ...

     1. ถึงแม้กรงของน้องหมาพันธุ์เล็กส่วนใหญ่จะตั้งอยู่แต่ในบ้าน แต่ก็ควรให้ความสำคัญกับความทนทานของวัสดุที่ใช้ทำกรง ไม่ควรเป็นวัสดุที่ขึ้นสนิมได้ง่าย และจะต้องมีความทนทานต่อการกัดแทะของน้องหมาได้สูง เพราะน้องหมาอาจจะกัดแทะหรือเลีย ทำให้มีผลเสียต่อร่างกายของน้องหมาได้ค่ะ
     2. ควรมีถาดรองรับสิ่งสกปรกอยู่ข้างล่าง สามารถชักเข้า ชักออกไปทำความสะอาดได้ง่าย
     3. ตัวกรงจะต้องมีขนาดพอเหมาะ ที่จะทำให้น้องหมาเดินกลับตัวไปมาได้สะดวก โดยเฉพาะเวลาลุกขึ้นยืนไม่อึดอัด หรือเตี้ยแคบ จนเกินไป
     4. ควรเป็นกรงชนิดที่เคลื่อนย้ายได้สะดวก มีน้ำหนักไม่มาก เพื่อให้ง่ายแก่การนำกรงน้องหมาออกไปล้างทำความสะอาด และตากแดดฆ่าเชื้อ
     5. จะต้องเป็นกรงที่อากาศสามารถถ่ายเทได้สะดวก ควรติดตาข่ายขนาดถี่ เพื่อป้องกันยุงกัดในเวลากลางคืนด้วย

     การมีกรงให้น้องหมาไม่ใช่เพื่อเจตนาจะเลี้ยงน้องหมาให้อยู่ในกรงตลอดเวลา เพราะถ้าหากทำแบบนั้นจะทำให้พฤติกรรมของน้องหมาเปลี่ยนไปเป็นก้าวร้าว เนื่องจากโดยธรรมชาติของน้องหมาเขาอยากอยู่ใกล้ชิดกับผู้เลี้ยง โดยเฉพาะเมื่อตอนเขาอายุ 2-5 เดือนแรก ไม่ควรกักขังอยู่แต่ในกรงเด็ดขาด เพราะจะทำให้มันขาดการปฏิสัมพันธ์กับผู้คนและสัตว์อื่นได้ ผู้เลี้ยงควรฝึกให้น้องหมา เข้า-ออก จากกรงเป็นเวลา วิธีนี้จะทำให้น้องหมาเคยชินและรู้ดีว่านั่นหมายถึงเวลาขับถ่ายของเสีย เวลาทานอาหาร ควรปฏิบัติและทำอย่างต่อเนื่อง สม่ำเสมอ จะทำให้น้องหมามีนิสัยที่ดีค่ะ

อยากให้น้องหมานอนในคอก ...

     ถ้าต้องการจะให้น้องหมานอนในคอก เพื่อให้น้องหมามีอิสระในการใช้พื้นที่แต่ยังคงต้องการจำกัดบริเวณของน้องหมาอยู่ วิธีการจัดที่นอนก็จะคล้ายๆ กับการจัดที่นอนของน้องหมาในกรงค่ะ คือ หาผ้านวม หรือผ้าที่ไม่ใช้แล้วมาปูรองให้น้องหมานอน  หรือเพื่อนๆ จะเปลี่ยนเป็นเบาะนอน หรือเตียงนอนสำหรับน้องหมาก็ได้ค่ะ เพราะในคอกน้องหมามีพื้นที่มากกว่าในกรงจึงสามารถวางเบาะหรือเตียงได้ค่ะ

การเลือกซื้อเบาะนอนหรือเตียงนอน

     ต้องเลือกแบบที่สามารถถอดมาซักได้ด้วยนะคะ เผื่อเวลาที่สกปรกมาก ๆ เราจะได้ถอดออกมาซักได้ เหตุผลที่ยังคงต้องปูผ้าหรือใช้เบาะรองก่อน ก็เพราะว่าพื้นห้องอาจจะเย็น อาจทำให้น้องหมาป่วยได้ และเช่นเดียวกับการให้น้องหมานอนกรงค่ะ ควรติดตั้งขวดให้น้ำเอาไว้ให้น้องหมาด้วยค่ะ และควรติดตั้งไว้ห่างจากบริเวณเบาะนอนหรือเตียงนอนของน้องหมา เพื่อป้องน้องหมาทำน้ำหกโดนที่นอนซึ่งจะทำให้เกิดความสกปรกเปียกชื้นได้ค่ะ และที่ขาดเจ้าสิ่งนี้ไปไม่ได้เลย นั่นก็คือ แผ่นยางกันลื่นค่ะ เพราะพื้นที่่ลื่นอาจจะทำให้น้องหมามีปัญหาในการเดินได้ เช่น อาการสะบ้าเคลื่อน ที่พบได้ในสุนัขพันธุ์เล็กค่ะ


อยากให้อิสระกับน้องหมา ...

     ถ้าเพื่อนๆ คนไหนที่ไม่อยากจำกัดขอบเขตการนอนของน้องหมา หรืออยากจะให้น้องหมามีอิสระในการใช้พื้นที่ ก็สามารถจัดได้เหมือนกับการจัดในคอกเลยค่ะ คือ ต้องเตรียมที่นอนให้เขาด้วย  อาจจะเป็นเบาะนุ่ม ๆ หรือเตียงนอนสำหรับน้องหมา หรือใครที่ยังไม่มั่นใจว่าน้องหมาจะชอบหรือไม่ชอบที่นอนที่เตรียมไว้ให้ และยังไม่มั่นใจว่าน้องหมาของเราจะไม่ทำลายสิ่งของหรือไม่ ก็อาจจะใช้ผ้านวมเก่าๆ ปูพื้นที่ให้เขารองนอนไปก่อนก็ได้ค่ะ

     ผู้เลี้ยงควรแบ่งบริเวณให้น้องหมานอนเป็นที่ หรืออาจจะเป็นมุมใดมุมหนึ่งของห้องก็ได้ค่ะ ไม่ควรให้น้องหมามีอิสระในการใช้พื้นที่ห้องที่กว้างเกินไป (ไม่ควรให้น้องหมามานอนเล่นบริเวณเตียงนอนของผู้เลี้ยงเด็ดขาด เพื่อที่เขาจะได้เรียนรู้ว่าตัวเองมีพื้นที่แค่ไหน และพื้นที่ไหนในห้องที่เข้าไปไม่ได้) เพราะจะทำให้น้องหมาไม่กลับมานอนในที่ของตัวเองค่ะ


จุดสังเกต

     น้องหมาบางตัวอาจจะไม่ชอบนอนบนเบาะที่เราเตรียมไว้ให้ แต่น้องหมากลับชอบนอนบนพื้นเย็นๆ เพื่อน ๆ อาจจะต้องใส่เสื้อให้กับน้องหมาก่อนนะคะ เพราะไม่เช่นนั้น น้องหมาอาจจะป่วยเป็นไข้หรือมีอาการปอดบวมได้ค่ะ
ส่วนใหญ่ถ้าเป็นน้องหมาพันธฺุ์เล็กและมีขนสั้น ถ้าหากนอนห้องแอร์เป็นประจำ มิ้มแนะนำว่าเวลานอนควรใส่เสื้อทุกครั้งนะคะ จะได้เพิ่มความอบอุ่นให้ร่างกายน้องหมาค่ะ

     เป็นอย่างไรกันบ้างคะ กับวิธีการจัดที่นอนให้น้องหมานอนหลับฝันดี ... การจัดที่นอนให้น้องหมานอนเป็นที่เป็นทาง นอกจากจะสร้างวินัยให้กับน้องหมาแล้ว ยังช่วยให้เจ้าของสามารถดูแลความสะอาดได้ง่ายอีกด้วย  อีกทั้งยังช่วยลดการเกิดอุบัติเหตุกับน้องหมา ในกรณีที่เจ้าของเอาน้องหมาขึ้นไปนอนบนเตียงด้วย อาจจะทำให้น้องหมาผลัดตกลงมาจากเตียงและบาดเจ็บได้ ในกรณีน้องหมาอาจจะไปนอนในซอกแคบๆ ทำให้น้องหมาติดอยู่ในซอกแล้วไม่สามารถออกมาจากซอกได้  อีกในกรณีหนึ่งก็คือ การที่น้องหมามีอิสระในการเลือกที่นอนมากเกินไป น้องหมาอาจจะไปนอนในบริเวณที่มีสายไฟเยอะๆ เช่น ใต้โต๊ะคอมฯ  ซอกหลังตู้วางทีวี หรือตู้เย็น ทำให้น้องหมาอาจจะโดนไฟดูดได้ค่ะ

    สิ่งสำคัญและขาดไม่ได้เลยนั้น ควรจะเป็นเรื่องความสะอาดที่เพื่อน ๆ ต้องหมั่นคอยดูแลไม่ให้ที่นอนและรอบๆ บริเวณที่น้องหมานอนสกปรกเป็นอันขาดค่ะ เพราะถ้าเราละเลย อาจเป็นแหล่งสะสมเชื้อโรค เห็บ หมัด และอาจทำให้น้องหมาของเราไม่สบายได้ค่ะ



อุ้มน้องหมาพันธุ์เล็กยังไงให้ถูกวิธี
การอุ้มน้องหมาสายพันธุ์เล็ก ถ้าหากอุ้มผิดวิธี อาจทำให้เกิดอุบัติเหตุที่เราคาดไม่ถึงได้ ...









  ... เพื่อนๆ เคยสังเกตไหมคะว่า เวลาเราอุ้มน้องหมาตัวเล็ก อย่างเจ้าชิวาวาตัวน้อย หรือยอร์คเชียร์ตัวจิ๋วที่น่ารักน่าทะนุถนม พวกเขามักจะมีอาการสั่นเกร็งเสมอเวลาที่ถูกอุ้ม หรือถูกจับไปวางไว้ในที่สูง ... น่าแปลกเหมือนกันนะคะที่น้องหมาสายพันธุ์ที่มีขนาดเล็กส่วนใหญ่จะมีอาการแบบนี้ เอ๊ะ หรือว่าอาการแบบนี้กำลังบอกว่าน้องหมาของเรามีความผิดปกตินะ?


     จริงๆ แล้วการที่น้องหมาสายพันธุ์เล็กมักจะมีอาการตั่วสั่น หรือตัวเกร็งเวลาที่ถูกอุ้มหรือถูกจับไปวางไว้ในที่สูงนั้น ไม่ได้เกิดจากอาการผิดปกติใดๆ ทั้งสิ้น แต่อาการสั่นเกร็งนั้นเกิดจากความกังวล และรู้สึกไม่ปลอดภัยต่างหาก โดยเฉพาะในการอุ้มน้องหมาตัวเล็กๆ ถ้าหากเจ้าของไม่รู้จักวิธีการอุ้มที่ถูกต้อง ก็จะทำให้น้องหมารู้สึกไม่มั่นใจและไม่ไว้ใจเจ้าของ ทำให้เขาอาจจะดิ้น หรือบิดตัว เกร็งตัว ซึ่งอาจจะทำให้น้องหมาหลุดจากมือตกลงที่พื้น ทำให้เป็นอันตรายร้ายแรงจนน้องหมาอาจจะเสียชีวิตได้เลยทีเดียว!!!!

     ไม่น่าเชื่อเลยนะคะว่าเพียงแค่การอุ้มน้องหมา ถ้าหากทำโดยไม่ถูกวิธีก็อาจทำให้เกิดอันตรายรุนแรงกับน้องหมาได้ ... และเพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้เกิดเหตุอันตรายกับน้องหมาตัวจิ๋วของเพื่อนๆ วันนี้มะเหมี่ยวก็มีวิธีการอุ้มน้องหมาสายพันธุ์เล็กอย่างถูกวิธีมาฝากเพื่อนๆ ชาว Dogilike กันค่ะ


อุ้มน้องหมาพันธุ์เล็กอย่างถูกวิธี ต้องทำยังไง?

     สิ่งหนึ่งที่เราจะต้องเข้าใจในธรรมชาติของน้องหมาพันธุ์เล็กก็คือ ด้วยบุคลิกลักษณะของน้องหมาสายพันธุ์เล็กที่มีลักษณะเหมือนตุ๊กตาๆ ตัวเล็กๆ ที่ต้องการการทะนุถนอม พวกเขาชอบที่จะอยู่ใกล้ๆ เจ้าของตลอดเวลา การที่จะอุ้มน้องหมาสายพันธุ์เล็กนั้น สิ่งที่สำคัญก็คือเราจะต้องทำให้เขารู้สึกว่ามั่นคงและปลอดภัย


     1. การอุ้มน้องหมาพันธุ์เล็กนั้น ขั้นตอนแรกคือการจัดลักษณะท่าทางในการอุ้มน้องหมา เจ้าของจะต้องหันหน้าเข้าหากัน เจ้าของจะต้องสอดมือทั้งสองข้างเข้าไปทางใต้รักแร้ด้านหน้าของน้องหมาแล้วสัมผัสแบบเบาๆ แต่ต้องมีความแข็งแรงที่จะต้องรับน้ำหนักของตัวน้องหมาได้ เพื่อให้น้องหมาเกิดความมั่นใจว่าเวลาเจ้าของยกเขาขึ้นมาจากพื้นหรือจากที่สูงแล้วเขาจะไม่ตกลงมา

     2. หลังจากนั้นให้อุ้มน้องหมาแนบกับหน้าอกของเจ้าของ และให้รวบขาหลังทั้งสองข้างเอาไว้ แล้วหันหน้าของน้องหมาออกด้านนอก มือหนึ่งรองรับด้านก้นของน้องหมา ส่วนอีกมือหนึ่งกอดรัดแบบเบาๆ แต่ต้องมีความกระชับไว้ที่หน้าอกของน้องหมา การอุ้มแบบนี้ เหมือนกับการอุ้มเด็กทารก แต่ถ้าหากเจ้าของอุ้มน้องหมาไปสักพักหนึ่งแล้ว รู้สึกเมื่อยแขน เจ้าของก็สามารถวางลำตัวของน้องหมาไว้บนแขนข้างใดข้างหนึ่งและกอดรัดลำตัวของเขาให้กระชับกับหน้าอกของเจ้าของ เพื่อป้องกันไม่ให้น้องหมาตกลงมาได้รับอันตราย

     การที่เราจำเป็นจะต้องอุ้มน้องหมาในลักษณะที่หันหน้าออกมาด้านนอกนั้น ก็เพื่อที่น้องหมาจะได้รู้สึกผ่อนคลาย ไม่อึดอัด เพราะเขาจะสามารถสำรวจสิ่งแวดล้อมรอบตัวต่างๆ ได้ วิธีนี้จะตอบสนองความความอยากรู้อยากเห็นของน้องหมาได้เป็นอย่างดี น้องหมาจะรู้สึกสบายเมื่อถูกอุ้มในท่านี้ค่ะ

     หรืออาจจะใช้วิธีอุ้มในอีกลักษณะหนึ่ง คือ ใช้มือข้างที่ถนัดสอดเข้าระหว่างขาหน้า ขณะที่มืออีกข้างหนึ่งโอบรอบขาหลังและสะโพก เพื่อไม่ให้น้องหมาบิดตัวหรือถีบ ยกน้องขึ้นมือข้างที่อยู่ที่บั้นท้ายจะป้องกันไม่ให้น้องหมากระโดดลงได้


เคล็ด(ไม่)ลับในการอุ้มน้องหมาพันธุ์เล็ก



     เคล็ดลับอีกอย่างหนึ่งในการอุ้มน้องหมาสายพันธุ์เล็กก็คือ การอุ้มที่ถูกต้องตามวิธีที่บอกไปในตอนต้นนั้นควรฝึกอุ้มตั้งแต่น้องหมายังเด็กเพื่อให้เขาเกิดความเคยชิน ถ้าหากเจ้าของอุ้มน้องหมาด้วยวิธีนี้เสมอจะทำให้น้องหมาจำลักษณะการอุ้มของเจ้าของได้ค่ะ เมื่อเจ้าของเข้ามาหาน้องหมา น้องหมาก็จะรีบหันหลังให้เพื่อให้เจ้าของอุ้มเขาจากทางด้านหลังของลำตัวในทันที และเมื่อเจ้าของสอดมือเข้าใต้รักแร้ น้องหมาจะรีบกระดกตัวขึ้น เพื่อช่วยให้เจ้าของอุ้มตัวของเค้าได้รวดเร็วขึ้น

     ... ถ้าหากเจ้าของอุ้มเขาด้วยท่าอุ้มที่ถูกต้องเป็นประจำ น้องหมาก็จะรู้จังหวะในการอุ้มของเจ้าของ ทำให้เจ้าของสามารถอุ้มเขาได้สะดวกขึ้น และลดการเกิดอุบัติเหตุการณ์ที่อาจเกิดจากการอุ้มให้น้อยลงค่ะ





    





 

วันจันทร์ที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

SPA สำหรับน้องสุนัข




บูติครีสอร์ทแห่งแรกสำหรับน้องหมา  
  โรงแรมหรู+สระว่ายน้ำ(น้ำเกลือ)+สปา+สนามวิ่งเล่น..  
   
  Cotton Dog Resort and Care บูติครีสอร์ตสุนัขสุดหรู
  แห่งแรกบนเนื้อที่กว่า 1 ไร่ เรามีบริการครบวงจรไม่ว่าจะเป็นโรงแรมสุนัข, สระว่ายน้ำสุนัข ระบบน้ำเกลือ, Exclusive Grooming&Spa น้องหมา, สนามหญ้ากว้าง และสวนหย่อม ท่ามกลางบรรยากาศธรรมชาติเราตั้งใจยกระดับสถานที่และบริการ ให้ได้ตามมาตรฐาน ระดับต่างประเทศ เราและทีมงานทุกคนยินดีต้อนรับน้องหมาทุกๆ ท่าน
...เพราะเราก็รักสุนัขเหมือนกัน
 
Dog Hotel (Dog Boarding)
  โรงแรมสุนัข ห้องนอนแอร์ส่วนตัวกว้าง สะอาด มีเครื่องฟอกอากาศ เครื่องดักยุง รวมอาหาร Royal Canin 2 มื้อ + Snack มีเตียงนุ่มๆ และของเล่น มีระบบป้องกันเห็บ-หมัด พี่ๆ พาวิ่งเล่นสนามหญ้าและดูแลตลอด 24 ชม.
 
  Dog Exclusive Grooming and Spa
  อาบน้ำ ตัดขน และ สปาสุนัข น้องหมาของคุณจะทั้งสวย
และหล่อ และแสนจะสบายกับบริการของเรา เพราะเรา
ใส่ใจ ทุกรายละเอียด โดยช่างมืออาชีพ
 
  Dog Swimming Pool (Saline System)
  สระว่ายน้ำสุนัข ระบบน้ำเกลือ ในร่ม กว้าง 6 x 10 ม. ทั้้งสนุกและได้ออกกำลังกาย เรามีระบบ air jet สำหรับสุนัขที่ต้องการการบำบัดไว้บริการ
 
  Dog Playground
  สนามหญ้ากว้าง วิ่งเล่นอิสระ ทั้งสนุก และ ออกกำลังกาย
ในบรรยากาศรีสอร์ท สวนสวยร่มรื่นและเป็นส่วนตัว เหมาะกับการมาพักผ่อน
 
  กด  และชม Gallery ภาพบรรยากาศ และ น้องหมาน่ารักๆ ที่มาใช้บริการที่ Cotton Dog Resort
  ชมภาพสถานที่จริงที่ http://facebook.com/CottonDogResort
 
ซอยทางออกด้านหลัง homeWorks ถ. ราชพฤกษ์ (ซอยกุมารทอง) ออกจากทางออกเลี้ยวขวา 50ม. อยู่ด้านซ้าย (มีที่จอดรถ)
เปิดบริการทุกวัน เว้นวันจันทร์ ตั้งแต่เวลา 9:00-18:00 น.
โทร. 081-925-2664

http://www.cottondogresort.com/



















สระว่ายน้ำ Swimming Pool Services
สระว่ายน้ำสุนัข

บาววาวมีบริการสระว่ายน้ำสำหรับสุนัข ขนาด 6 x 10 x 1.2 เมตร  ผ่านระบบกรองและฆ่าเชื้อด้วยคลอรีน ตรวจสอบและควบคุมคุณภาพน้ำโดยบริษัท เบสท์ช้อย เซอร์วิส จำกัด

เวลาเปิดให้บริการคือ  อังคาร-อาทิตย์  ตั้งแต่ 09.00 – 17.00 น.

เหตุผลดี ๆ ที่น้องหมาต้องว่ายน้ำ

-      เป็นการออกกำลังกายในอีกรูปแบบหนึ่ง เพื่อเสริมสร้างกล้ามเนื้อ

-      ช่วยสุนัขที่ต้องการลดน้ำหนัก ซึ่งต้องทำควบคู่ไปกับการควบคุมอาหาร

-      บำบัดสุนัขหลังการผ่าตัดการศัลยกรรมกระดูก

-      ช่วยให้สุนัขที่มีปัญหาเกี่ยวกับข้อกระดูก-กล้ามเนื้อ มีการเคลื่อนไหวที่ดีขึ้น โดยเฉพาะสุนัขที่กำลังเจริญเติบโต, สุนัขแก่, สุนัขที่เดินกระโผกกระแผก

-      สร้างความแข็งแกร่งสำหรับสุนัขประกวด หรือเตรียมเข้าแข่งขัน



อัตราค่าสมัครสมาชิกสระว่ายน้ำต่อตัว


ประเภท 6 เดือน ราคา 2,800 บาท


อัตราค่าบริการต่อครั้ง ต่อตัว ต่อชั่วโมง
ประเภทสุนัข0 – 11 kg Size S> 11 – 25 kg Size M> 25 – 40 kg Size L
ราคาปกติ
อ – ศ
ส – อา
สมาชิก
อ – ศ
ส – อา
ราคาปกติ
อ – ศ
ส – อา
สมาชิก
อ-ศ
ส-อา
ราคาปกติ
อ – ศ
ส – อา
สมาชิก
อ – ศ
ส – อา
ขนสั้น270
300
108
120
315
350
126
140
405
450
162
180
ขนยาว315
350
126
140
360
400
144
160
450
500
180
200
ประเภทสุนัข> 40 kg Size XL> 55 kg Size XXL
ราคาปกติ
อ – ศ
ส – อา
สมาชิก
อ – ศ
ส – อา
ราคาปกติ
อ – ศ
ส – อา
สมาชิก
อ-ศ
ส-อา

ขนสั้น450
500
180
200
495
550
198
220

ขนยาว495
550
198
220
540
600
216
240





อัตราค่าเช่าเสื้อชูขีพ : 80 บาท/ ตัว

อัตราค่าฝากสุนัขหลังจากว่ายน้ำ (รับกลับภายใน 18.00 น.) : 100 บาท (จะรับในกรณีคอกว่างเท่านั้น)


สิทธิพิเศษเพิ่มเติม :

ได้รับส่วนลดบริการอาบน้ำ-ตัดขน, โรงแรมสุนัข, และอาหาร-อุปกรณ์สัตว์เลี้ยงในร้าน เทียบเท่าสมาชิกทั่วไป


ประเภทสุนัข (เป็นการยกตัวอย่างเท่านั้น ขึ้นอยู่กับชนิดของขนและขนาดน้ำหนักจริง)

สุนัขขนาดเล็ก (S) ขนสั้น  :  มินิเอเจอร์ พินเชอร์,  ชิวาว่า,  ปั๊ก, บอสตันเทอร์เรีย, เฟรนบูลด๊อก เป็นต้น
สุนัขขนาดเล็ก (S) ขนยาว  :  ชิสุท์,  ยอร์คเชียร์เทอร์เรีย,  มอลทีส,  ชเนาเซอร์, ปอมฯ, พูเดิ้ล เป็นต้น
สุนัขขนาดกลาง (M) ขนสั้น  :   คอร์คเกอร์,  ไทย, บีเกิ้ล, บ๊อกเซอร์ เป็นต้น
สุนัขขนาดกลาง (M) ขนยาว  :  บางแก้ว เป็นต้น
สุนัขขนาดใหญ่ (L) ขนสั้น  : ลาบราดอร์, ร๊อตไวเล่อร์, โดเบอร์แมน, บูลด๊อก เป็นต้น
สุนัขขนาดใหญ่ (L) ขนยาว  :  โกลเด้นรีทีฟเวอร์,  เยอรมันเชพเพิด เป็นต้น
สุนัขขนาดใหญ่พิเศษ (XL) ขนสั้น-ขนยาว  :  ลาบราดอร์  – โกลเด้นฯ เป็นต้น รวมถึงสุนัขที่มีขนพิเศษ (หนาและร่วงมาก) เช่น ไซบีเรียน  เชาเชา โอลอิงลิชฯ
สุนัขขนาดใหญ่พิเศษมาก ๆ  (XXL) ขนสั้น-ขนยาว : เกรทเดน มัสทีฟ – เซนเบอร์นาร์ด
เงื่อนไขการใช้สระว่ายน้ำ

สุนัขต้องไม่มีเห็บ-หมัด
สุนัขต้องไม่เป็นโรคติดต่อหรือโรคผิวหนัง
สุนัขต้องไม่เป็นฮีท
สุนัขดุ หรือไม่สามารถเล่นน้ำร่วมกับตัวอื่นได้ ต้องแจ้ง
ถ้าสุนัขขับถ่ายในสระว่ายน้ำ เจ้าของต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการเปลี่ยนน้ำ 3,000 บาท
เจ้าของต้องนำแชมพู ผ้าเช็ดตัว ของเล่น โซ่ สายจูง  มาเอง
ทางบาววาวจัดเจ้าหน้าที่อาบน้ำ-เป่าขนให้เท่านั้น  ไม่รวมถึงบริการอย่างอื่น
เนื่องจากทาง BowWow คำนึงถึงสุขภาพของสุนัขของท่าน  ด้งนั้นทาง BowWow จึงจำเป็นต้องขอความร่วมมือในการปฏิบัติตามกฏระเบียบอย่างเคร่งครัด

http://www.bowwowcenter.com