วันพุธที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2555

8 เหตุผลที่ พุดเดิ้ลเป็นน้องหมาสุดฮิตตลอดกาล


1. สวย ใส สมองก็ไบรท์สุดๆ


         อาจเพราะคาแรคเตอร์เลิศ เชิด แบ๊ว เหมือนตุ๊กตา ลั้นลาไม่อยู่นิ่ง ทำให้หลายคนนึกไม่ถึงว่าน้องพุดเดิ้ลจะได้การรับรองจาก American Kennel Club and Canadian Kennel Club  ว่าเป็นสุนัขที่ฉลาดที่สุดในโลก เป็นอันดับ 2 รองจาก บอร์เดอร์ คอลลี (Border Collie)  โดยใช้เกณฑ์วัดจากความเฉลียวฉลาดทั้งในการทำงานและการเชื่อฟังคำสั่ง  ยิ่งเป็นพุดเดิ้ลสแตนดาร์ด ยิ่งฉลาดสุดๆ พวกเขาสามารถรับรู้ความต้องการของเจ้าของได้ ถึงได้ขึ้นชื่อว่าน้องหมาขี้ประจบ ช่างเอาใจนั่นเอง แถมยังมีไหวพริบปฏิภาณเป็นเลิศ จนบางทีก็ฉลาดรู้มากจนเจ้าของปวดหัว เพราะฉะนั้นถ้าคิดจะเลี้ยงพุดเดิ้ล ควรฝึกวินัยให้เขา ควบคู่กับการฝึกความสามารถเฉพาะด้าน อย่างเทคนิคการเล่นเกมต่างๆ หรือเกมมายากล ให้สมกับความฉลาดที่เขามีอยู่ค่ะ

2. น่ารัก  ว่าง่ายสั่งให้ทำอะไรก็ทำ


         จากผลพวงของความฉลาดสุดๆ ของน้องพุดเดิ้ลนี่เองทำให้พวกเขากลายเป็น  น้องหมาที่นอกจากจะครองตำแหน่งอันดับ 2 น้องหมาที่ฉลาดที่สุดในโลกแล้ว ยังครองตำแหน่ง 1 ใน 10 น้องหมาที่ฝึกง่ายที่สุดอีกด้วย และเพราะความว่านอนสอนง่าย ดูแลตัวเองได้ ตอบสนองต่อคำสั่งได้ฉับไว และตอบรับคำสั่งได้อย่างยอดเยี่ยม ไม่มีอิดออดนี้เอง พุดเดิ้ลจึงถูกนำมาโชว์ความสามารถพิเศษ การแสดงต่างๆ เช่น เล่นมายากล กระโดดลอดห่วง หรือแต่เดินบนลูกบอล  ว้าวววว มหัศจรรย์มากๆ   แล้วยิ่งบวกรวมไปกับความน่ารัก คงปฏิเสธไม่ได้ว่า พุดเดิ้ลเป็นน้องหมาที่เพอร์เฟคสุดๆ ไปเลยล่ะค่ะ

3. น้องหมานักเอ็นเตอร์เทน 




     แรกเริ่มเดิมทีพูเดิลถูกนำมาเลี้ยงและฝึกเพื่อเป็นสุนัขที่ทำงานในน้ำ ใช้ล่าเป็ดที่เจ้านายยิงได้ในน้ำ จึงเรียกกันว่า “หมาล่าเป็ด” แต่ด้วยบุคลิกร่าเริง ฉลาด มีไหวพริบ ไอคิวเป็นเลิศ  และฝึกสอนง่าย พวกเขาจึงถูกนำมาฝึกเป็นสุนัขที่ใช้ในการแสดงของคณะละครสัตว์ เรียกรอยยิ้ม เสียงหัวเราะ และเสียงปรบมือของผู้ชม แล้วตั้งแต่คริสตวรรษที่ 18 เป็นต้นมา พุดเดิ้ลก็กลายเป็นที่นิยมในหมู่ชนชั้นสูง และชนชั้นกลาง นำมาเลี้ยงไว้เป็นเพื่อน สร้างความบันเทิงในครอบครัว มาจนถึงปัจจุบัน  ไม่ว่าจะสั่งให้ทำอะไรเขาก็ทำ จะให้กระโดดสูงๆ หรือให้เดิน 2 ขาก็เดิน ซ้ำยังไม่แสดงอาการก้าวร้าวไม่พอใจใส่เจ้าของอีกด้วย เห็นไหมล่ะคะว่าพุดเดิ้ลเกิดมาเพื่อมอบรอยยิ้มและความสุขอย่างเต็มหัวใจ ไม่ให้รักได้ยังไงเนี่ย

4. ตัวเล็กแต่ใจใหญ่



         ตามลักษณะนิสัยของพุดดิ้ลมีข้อเสียในเรื่องชอบเห่า ปากเปราะ จนน่ารำคาญ นั่นก็เป็นเพราะเขาอ่อนไหวง่าย รับรู้ง่าย ช่างสังเกต  หู ตา จมูกว่องไว สมกับเป็นหมาล่าเป็ด  แต่ข้อเสียของพุดเดิ้ลก็กลายเป็นข้อดีสำหรับการเฝ้าบ้าน ถึงขนาด ติดอันดับ 1 ใน 10 สุนัขที่ขึ้นชื่อเรื่องการเห่าเฝ้าบ้านได้อย่างดี (Watchdog Barking) ยิ่งถ้าเป็นตัวเมียจะมีสัญชาตญาณการปกป้องครอบครัวสูงกว่าตัวผู้  ดังนั้นถ้าใครอยากได้น้องหมาตัวเล็ก น่ารัก ไว้เห่าเตือนภัย  แถมยังช่วยจับหนูได้ไม่ต่างจากแมว พุดเดิ้ลยังเป็นตัวเลือกหนึ่งที่ดีเสมอค่ะ

5. ไม่ว่าเพศไหนก็ดูสาวเสมอ




        ถึงแม้พุดเดิ้ลจะเก่งรอบด้าน ปกป้องระวังได้ไม่หวั่นกลัว แต่ด้วยรูปร่างที่ ได้สัดส่วน หุ่นดี แบบบาง สะโอดสะอง หน้าแหลมดูเริด เชิด หยิ่ง เป็นผู้ดีมีสกุล ขนหยิกจัดเป็นทรงหลากหลาย จึงทำให้ภาพลักษณ์พุดเดิ้ล ดูเป็นหญิงสาวผู้สูงศักดิ์ไปหมดทุกตัว แล้วเพราะรูปร่างที่มีความเป็นเฟมีนีน หรือดูเป็นผู้หญิงนี้เอง ถึงทำให้คนเข้าใจพุดเดิ้ลตัวผู้ว่าเป็นตัวเมียอยู่เสมอ ดังนั้นถ้าใครมีลูกชาย แต่วันดีคืนดีเกิดอยากได้ลูกสาวแล้วไม่ดูผิดเพศ พุดเดิ้ลจัดให้ค่ะ

6. เป็นผู้นำแฟชั่นล้ำสมัย




       อย่างที่บอกไปแล้วค่ะว่า พุดเดิ้ลให้แมนขนาดไหนก็ยังดูเป็นสาวสะพรั่งอยู่ดี ส่วนหนึ่งก็เพราะภาพตัดแต่งทรงขนเป็นพุ่มกลมๆ รอบอก รอบข้อเท้า หรือที่เรียกว่า ปอม ปอม ที่ทำให้พุดเดิ้ลดูเป็นสาวสวย เซ็กซี่ แต่เพื่อนๆ รู้ไหมคะว่า จริงๆ แล้วคนที่คิดริเริ่มตัดแต่งทรงขนแบบนั้นเป็นนายพรานล่าเป็ด ไม่ใช่สไตลิสต์ที่ไหน โดยมีจุดประสงค์เพื่อให้พุดเดิ้ลเคลื่อนไหวในน้ำได้อย่างคล่องตัว ซึ่งกลุ่มก้อนขนฟูๆ จะช่วยปกป้องอวัยวะสำคัญจากความหนาวเย็นค่ะ แล้วด้วยพุดเดิ้ลเป็นที่นิยมมากในฝรั่งเศส เมืองแฟชั่น จึงมีการดีไซน์ขนทรงต่างๆ มากมาย ไม่ว่าจะเป็นทรงม้วนเป็นเกรียว ทรงดัทช์ ทรงอิงลิส แซดเดิล และอื่นๆ อีกมากมาย แถมด้วยงานดีไซน์เสื้อผ้าเครื่องประดับ ยิ่งทำให้พุดเดิ้ลดูกิ๊บเก๋สุดๆ รับตำแหน่งต้นฉบับแฟชั่นนิสต้าน้องหมาไปเลย  

 7. สายพันธุ์ที่มักนำไปผสมข้ามสายพันธุ์เป็นพันธุ์ใหม่




          อีกเหตุผลหนึ่งที่พุดเดิ้ลยังเป็นที่ต้องการ และน่าเลี้ยงตลอดกาลก็คือ พวกเขาเป็นน้องหมาที่สามารถผสมข้ามสายพันธุ์ เพื่อให้เกิดน้องหมาสายพันธุ์ใหม่ๆ หน้าตาน่ารัก ไม่น่าชัง แถมยังแข็งแรง ลดข้อด้อยของน้องหมาสายพันธุ์อื่นๆ ที่นำมาผสมได้ด้วย ไม่ว่าจะเป็นการลดอาการแพ้ผิวหนัง หรือลดการผลัดขนค่ะ ซึ่งน้องหมาที่ได้มาจากการผสมกับพุดเดิ้ลมีอยู่หลายพันธุ์ เช่น สปูเดิล (พุดเดิ้ล ผสมคอกเกอร์ สเปเนียล), มาทิพู (พุดเดิ้ล ผสมมอลทิส),  ลาบราดูเดิล (พุดเดิ้ล ผสมลาบราดอร์) และอีกมากมายค่ะ แล้วแต่ละพันธุ์ที่เกิดจากการผสมกับพุดเดิ้ล หน้าตาก็จะออกมาคล้ายเทอร์เรีย หรือไม่ก็มอลทิส น่ารัก น่าฟัดมากๆ ค่ะ ยิ่งพันธุ์ บางกูเดิ้ล พุดเดิ้ลผสมบางแก้ว (ฮ่าๆ) ยิ่งใจละลายไปเลยล่ะ

8. มีอายุยืน อยู่เป็นเพื่อนได้เนิ่นนาน


       โดยทั่วไปช่วงอายุของพุดเดิ้ล จะอยู่ได้ประมาณ  13-15 ปี บางตัวก็สามารถอยู่ได้ถึง 16-18 ปีค่ะ ซึ่ง  พุดเดิ้ลที่มีอายุยืนที่สุดสามารถอยู่ได้ถึงเกือบ 29 ปีเชียวค่ะ นั่นก็เพราะว่าพุดเดิ้ลมีปัญหาสุขภาพไม่มากนัก นอกจากโรคเกี่ยวกับดวงตา และโรคหัวใจซึ่งเป็นโรคประจำสายพันธุ์ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นจากสถิติงานวิจัยกล่าวไว้ว่าเหตุผลที่ทำให้พุดเดิ้ลโดยเฉพาะพันธุ์เล็กอายุยืนก็เพราะ พุดเดิ้ลเป็นน้องหมาสายพันธุ์เล็ก และมีรูปหน้าแหลม ซึ่งน้องหมาที่มีคุณสมบัติดังกล่าวจะมีโอกาสอายุยืนกว่าน้องหมาพันธุ์ใหญ่และหน้าสั้นค่ะ ด้วยเหตุนี้เอง พุดเดิ้ลที่ป่วยเป็นโรคหัวใจก็ยังสามารถอยู่ได้นานอีก 3-4 ปี แต่ก็ต้องอยู่ภายใต้การดูแลอย่างใกล้ชิดค่ะ อย่างไรก็ตาม ถึงพุดเดิ้ลจะเป็นสายพันธุ์ที่อายุยืน ก็ควรได้รับการดูแลที่ดี ออกกำลังกายเป็นประจำ พาไปตรวจร่างกายอย่างสม่ำเสมอค่ะ




วันพฤหัสบดีที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2555

ความรู้เกี่ยวกับเจ้าตัวน้อย









สุนัข กับ แมวหลงทาง แล้วหาทางกลับบ้านได้อย่างไร

       นิยายเรื่องสุนัขและแมวที่หลงหาทางกลับบ้านเองได้ทั้งที่อยู่ห่างไกลเป็นพันกิโลเมตร คิดว่าท่านผู้อ่านคงเคยได้ยินมาบ้างไม่มากก็น้อย เรามักตั้งคำถามว่าสัตว์เหล่านนี้ทำได้อย่างไร แล้วมันทำได้จริงหรือ ถึงแม้นิยายเรื่องการหาทางกลับบ้านของสัตว์เหล่านี้จะถูกเล่าซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่ความสำเร็จของมันอาจไม่ได้เป็นอย่างที่เราคิด สัตว์บางตัวอาจจะโชคดีที่ไปถูกทางที่จะไปบ้าน เพราะทิศที่จะเดินทางกลับบ้านมีแค่ 4 ทิศ คือ เหนือ, ไต้, ตะวันออก และตะวันตก ถ้าโชคดีเลือกถูกทางกึงบ้าน และบางทีแมวตัวที่กลับมาบ้านอาจไม่ใช่แมวตัวที่หายไป  จริง ๆ แล้วสุนัขและแมวมีความสามารถในการคิดแผนที่ภายใต้จิตสำนึกของมัน

             นกเป็นสัตว์ชนิดเดียวที่สามารถนำตัวเองไปสู่เป้าหมายที่กำหนดได้ และการศึกษาวิธีการที่นกใช้ในการนำทางกลับบ้าน ก็มีการศึกษามาต่อเนื่องยาวนานหลายปี และคำตอบอยู่ในสมมติฐานข้างล่างนี้ ตรวจสอบภูมิประเทศโดยตรง เรียนรู้ หรือ จดจำ แผนที่ทางภูมิศาสตร์ สำรวจมุมและตำแหน่งของดวงอาทิตย์ (และบางทีอาจเป็นสนามแม่เหล็กของดวงอาทิตย์) นำทางโดยอาศัยสนามแม่เหล็กโลก (โดยอาศัยความสามารถพิเศษในการรับรู้คลื่นแม่เหล็กที่อ่อนมาก ๆ โดยอาศัยตัวรับที่ผิวหนังบริเวณจะงอยปาก)
           สุนัขและแมวสามารถหาทางกลับบ้านเองได้หรือไม่ คำตอบคือถ้าที่ห่างไกลนั้นเป็นที่ที่สุนัขและแมวคุ้นเคยอยู่ สัตว์หาทางกลับบ้านเองได้แน่นอน เพราะสุนัขและแมวมักไปเที่ยวไกล ๆ แล้วกลับบ้านเอง แต่ถ้าทิ้งสัตว์ไว้ในที่ ๆ ไม่คุ้นเคยและไกลมาก ๆ มันจะหาทางกลับบ้านเองได้หรือไม่

          มีการศึกษาเรื่องการหาทางกลับบ้านของสัตว์เลี้ยง โดยนักจิตวิทยาชาวอังกฤษ วัตถุประสงค์ในการศึกษาเพื่อค้นคว้าขบวนการทางจิต ที่อาจซ่อนอยู่ในการหาทางกลับบ้านของสัตว์เลี้ยงเมื่อหลงทางไปในที่ไกล ๆ ผลการศึกษาออกมาว่าสุนัขสามารถหาทางกลับบ้านเองได้ แต่วิธีการที่สุนัขใช้ยังไม่สามารถอธิบายได้ เนื่องจากผลการศึกษาอาจละเว้นข้อเท็จจริงบางอย่างโดยไม่พูดถึงในงานวิจัย เช่น เขารู้ได้อย่างไรว่าสุนัขไม่เคยไปในจุดเริ่มต้นปล่อยสุนัขมาก่อน สุนัขจดจำเส้นทางได้โดยสุนัขไม่ได้ถูกปิดตาหรือจำกัดให้อยู่ในที่ที่ไม่สามารถมองเห็นเส้นทางได้หรือเปล่า หรือให้สุนัขจดจำเส้นทางโดยการดมกลิ่นหรือฟังเสียง สุนัขถูกปล่อยให้หาทางกลับโดยปล่อยจากจุดใกล้แล้วค่อยปล่อยไกลออกไปเรื่อย ๆ หรือไม่ ฯลฯ

         การศึกษาทางวิทยาศาสตร์ทุกสิ่งจะต้องสามารถอธิบายได้และต้องชัดเจน ต้องอธิบายได้ว่าสัตว์จดจำแผนที่ไว้ในสมองได้อย่างไร สันชาติญาณป่าเป็นแรงผลักดันให้สัตว์หาทางกลับบ้านและอาหาร สุนัขที่หลงทางหากหาทางกลับบ้านไม่ได้ก็เท่ากับสุนัขอาจต้องตาย การหาทางกลับบ้านจึงเป็นความท้าทายของสุนัขที่ต้องหาแหล่งอาหารและที่พักเพื่อความอยู่รอด  ยีนที่ควบคุมสันชาติญาณป่าอาจถ่ายทอดทางพันธุกรรมมา
           สุนัขป่ามักหาทางไปยังแหล่งใหม่ ๆ ได้ในอาณาเขตที่มันหากินอยู่ เป็นไปได้ว่าสุนัขอาศัยสิ่งที่สังเกตได้เช่นต้นไม้สูง หรือกลิ่นเป็นเครื่องนำทาง ซึ่งอาจไม่ใช่สิ่งที่จำเป็นในบางครั้ง

สุนัข และ แมวหาทางได้อย่างไร

       - การหาทางอาจเหมือนนกที่อาศัยทุกสิ่งที่อยู่รอบตัวในการนำทาง เช่น
       - แผนที่ที่อยู่ในสมองสัตว์
       - ความอยู่รอดและการสำรวจอาณาเขตหรือถิ่นที่อยู่
       - ความสามารถในเรื่องการดมกลิ่น
      - การได้ยิน เช่น เสียงน้ำไหล
       - สนามแม่เหล็ก ซึ่งสุนัขอาจมีบางส่วนของสมองที่สามารถรับสนามแม่เหล็กอ่อน ๆ ได้เหมือนนก
       - ตำแหน่งของดวงอาทิตย์ แตกต่างกับของนกเพราะสุนัขมักเดินทางกลางคืนหรือเวลาที่แสงน้อย

         สี่อย่างแรกได้รับการพิสูจน์แล้วว่าสุนัขและแมวเลี้ยงมีความสามารถใช้ได้ โดยมันสามารถที่จะไปและกลับได้เองในทางเดิมทางเดียวกับขาไป หรือเป็นทางใหม่คนละทางกับขาไป แต่การที่ถูกทิ้งในระยะทางไกล ๆ สุนัขและแมวสามารถหาทางกลับได้หรือไม่ยังน่าสงสัย เพราะเรายังไม่ทราบว่าสัตว์เลี้ยงสามารถดูตำแหน่งดวงอาทิตย์ และ อาศัยสนามแม่เหล็กเป็นเครื่องนำทางได้เช่นเดียวกับนกหรือไม่ คำตอบนี้ยังไม่สามารถตอบได้
        การจะตอบคำถามได้คงต้องมีการศึกษาที่อธิบายถึงการหาทางกลับบ้านจากที่ไกล ๆ ของสัตว์เลี้ยงแสนรักให้ได้ สัตว์เลี้ยงที่ถูกปล่อยในที่ไม่ไกลนักและในสถานที่ไม่คุ้นเคยเสี่ยงต่อการที่จะหลงทางและตายเป็นอย่างมาก อย่าพยายามทดลองกับสัตว์เลี้ยงของท่านดีกว่าครับ เพราะจากประสบการณ์ของผู้แปลเองก็เคยพบว่าสัตว์เลี้ยง    โดยเฉพาะแมวที่เจ้าของไม่ได้ใส่กรงมาแล้วเกิดหลุดไป ไม่เคยเห็นกลับบ้านได้เอง




ทำไมสุนัขถึงต้องเห่า

       คิดว่าหลายท่านคงมีประสบการณ์เกี่ยวกับการได้ยินเสียงของเจ้าตูบที่ส่งเสียงดัง ๆ ด้วยการเห่ากันมาไม่มากก็น้อย การได้ยินเสียงเห่าของเจ้าตูบนั้นคงไม่มีใครพิศวาส อยากได้ยินสักเท่าไหร่ เพราะมันช่างน่ารำคาญ และน่าหงุดหงิดซะนี่กระไร แล้วทำไมเจ้าตูบถึงต้องเห่า

           การเห่าของสุนัขถือเป็นพฤติกรรมสื่อสารตามธรรมชาติ แต่ถ้าหากเห่ามากเกินไป ก็เป็นปัญหาได้เหมือนกัน เราจะควบคุมการเห่าของสุนัขได้อย่างไร ก่อนอื่นเราต้องรู้ก่อนว่าธรรมชาติขิงสุนัขเห่าเพื่อต้องการสื่อสารอะไร

             Lovely/anxious barking เห่าเมื่อรู้สึกเหงา โดดเดี่ยว วิตกกังวล เป็นต้นว่า ถูกขัง ถูกบังคับ เสียงจะแหลมขึ้น และบอกได้ถึงอารมณ์ที่ขุ่นมัว เสียงนี้แหละที่จะสร้างความรำคาญให้กับเพื่อนบ้านจนเป็นปัญหากันมานักต่อนักแล้ว

             Bored barkers เห่าเมื่อสุนัขรู้สึกเบื่อ

             Play/ excuenebt bards การเห่าเมื่อต้องการเล่นหรือตื่นเต้น ลักษณะสั้นและเสียงแหลม

             Self-identification barking เห่าเมื่อสุนัขต้องการเห่าตอบเสียงเห่าหอนของสุนัขตัวอื่น ๆ ที่อาจได้ยินจากข้างบ้าน

             Startle barking เกิดขึ้นเมื่อมีเสียงหรือการเคลื่อนไหวอย่างทันทีหรือเสียงจากคนแปบกหน้า คล้าย ๆ กับ alert bark

             Alert /warning barks เป็นการเห่าเพื่อกระตุ้นเจ้าของว่า จะมีภัยอันตรายหรือคนแปลกหน้าเข้ามา ลักษณะการเห่าจะเร็วประหนึ่งว่ามีผู้บุกรุก เสียงขู่คำรามเบา ๆ ในลำคอ อาจสับสนกับการเห่าจากการกลัว

             Attention-seeking barks มักเกิดกับลูกหมาเด็กที่ต้องการ การดูแล เรียกร้องความนใจ เราต้องใจแข็ง ทำเป็นไม่สนใจอย่างหนัก ถือเป็นการฝึกไม่ให้เกิดพฤติกรรมอันไม่พึงประสงค์ในอนาคต เพราะถ้าติดเป็นนิสัยถึงตอนโตแล้ว ก็จกยากกับการแก้ไข

หลักการสำคัญในการควบคุมการเห่าที่ไม่พึงประสงค์

         ถ้าจะสามารถควบคุมการเห่าได้ สุนัขต้องเชื่อฟังคำสั่งของเจ้าของก่อน ถ้าเราสั่งไม่ได้ก็จะทำให้การฝกเป็นไปด้วยความยากลำบาก ส่วนมากเลยที่เจ้าของจะพูดสั่งเจ้าตูบไม่ให้เห่าคือ ไม่ ไม่ ไม่ จะยิ่งทำให้สุนัขคิดว่าเราอยากเห่าด้วย อยากเล่นกับเค้า หรือบอกว่าคุณชอบที่จะเล้นกับเค้า เค้าก็ยิ่งเห่า เราต้องเลือคำสั่งเพียงหนึ่งคำ เช่น หยุด หรือ พอ แล้วใช้คำนั้นตลอด ด้วยเสียงแบบเดิม และให้ทุกคนในบ้านทำเหมือนกัน แต่การสอนเจ้าตูบนั้น ต้องใช้ความอดทนเป็นที่ตั้ง และต้องค่อยเป็นค่อยไป ให้รางวัลเมื่อสุนัขทำตาม ซึ่งจะดีกว่าการลงโทษ ยิ่งทำให้สุนัขกลัว และรู้สึกฝืนและต่อต้าน

          นอกจากปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของุนัขแล้ว ปัจจุบันนี้ ยังมีอุปกรณ์เสริมเป็น ปลอกคอกันเห่าของสุนัขมีมาให้เลือกซื้อเลือกหากันอีกด้วย แต่การใช้ปลอกคอกันเห่าเป็นประจำอาจทำให้สุนัขเห่ามากขึ้น จึงควรใช้เท่าที่จำเป็นเท่านั้น

          ส่วนอีกวิธีหนึ่งคือ การตัดกล่องเสียง สัตวแพทย์หลาย ๆ ท่านไมนิยมใช้วิธีการนี้ เนื่องจากบางรายไม่ได้ผล รายที่ได้ผล สุนัขจะเห่าเสียงแหบ ๆ วิธีกานนี้เป็นวิธีการที่นักพฤติกรรมสัตว์ยังสงสัยถึงผลที่ได้รับอยู่ เนื่องจากสาเหตุการเห่ามีมากมาย การรักษาจึงต้องขึ้นอยู่กับสาเหตุ ถ้ายังไม่ได้รับการแก้ไข ทางที่ดีเจ้าของสุนัขควรหลีกเลี่ยงสิ่งที่จะกระตุ้นให้สุนัขเห่า

          สำหรับท่านที่กำลังประสบปัญหาเจ้าตูบของคุณเห่ามากกว่าปกติก็ลองนำวิธีการต่าง ๆ ที่กล่าวมาข้างต้นไปลองทำดูนะครับ เชื่อแน่ว่าปัญหาที่คุณกำลังเผชิญอยู่ต้องทเลาเบาบางลงไปแน่นอน

ข้อควรจำสำหรับคนที่รักและเลี้ยงสุนัข

      ในกรณีของผู้เลี้ยงที่ต้องออกไปทำงาน ไม่ควรทิ้งอาหารไว้ให้สุนัข สำคัญที่สุด คือ น้ำสะอาดสำหรับสุนัข ห้ามเด็ดขาดที่จะทิ้งอาหารไว้ให้สุนัขรับประทานทั้งวัน เพราะสุนัขไม่ได้ออกกำลังกาย ดังนั้น จึงเป็นการสะสมพลังงานและไขมัน ก่อให้เกิดโรคต่าง ๆ และ
พฤติกรรมไม่ดีต่าง ๆ ได้ง่าย

            ของเล่นของสุนัข ไม่ควรทิ้งไว้ให้เล่นเยอะเกินไปและไม่ควรมีเสียงดัง เพราะเสียงของเล่นจะทำให้สุนัขเมามันมากเกินไป อันที่จริง
สุนัขจะแทนของเล่นว่าเป็นเหยื่อ เมื่อสุนัขกัดของเล่นและสะบัดจะยิ่งเพิ่มความคึกคะนองทางอารมณ์อย่างมาก ซึ่งถ้าปล่อยให้เล่นมาก ๆ
ก็จะทำให้สุนัขเข้าสู่ความลุ่มหลง และเมื่อถูกแย่งของออกจากปาก อาจจะทำให้สุนัขเกิดความหวงเหยื่อ และเกิดความก้าวร้าวได้

วิธีเอาของออกจากปากสุนัขที่ดีที่สุด คือ หาของอย่างอื่น หรือขนมมาแลกเปลี่ยนกับของในปากแทนจะเป็นการเบนความสนใจของสุนัขได้

สิ่งของสำหรับน้องหมาตัวใหม่

            สำหรับผู้ที่จะนำสุนัขตัวใหม่เข้ามาเลี้ยงนั้น เราจะต้องเตรียมข้าวของของเค้าให้เรียบร้อย คือเมื่อนำสุนัขมาก็พร้อมจะใช้ได้ทันที ใครว่าสิ่งของสุนัขไม่สำคัญ ในความเป็นจริงแล้ว อุปกรณ์ เครื่องใช้สำหรับสัตว์เลี้ยงนั้นจำเป็นมาก เค้าควรจะมีของใช้ส่วนตัว ไม่ปะปนกับคนหรือสัตว์ตัวอื่นๆ มาดูกันดีกว่าว่าของใช้ที่จำเป็นสำหรับน้องหมานั้นมี อะไรบ้าง

               1. เชือกจูง ปลอกขอพร้อมสลักชื่อ ที่อยู่ของสุนัข หรือเป็นป้ายชื่อก็ได้ ในต่างประเทศนั้นพบว่าเจ้าตูบไม่สามารถจะกลับบ้านได้ เมื่อพลัดห ลงกับเจ้าของ เพราะไม่มีปลอกคอนี่เอง และประโยชน์สำคัญของการมีเชือกจูงก็คือ ทำให้เค้าปลอดภัยจากรถราบนท้องถนน เมื่อเราได้ผูกเชือกจูงเอาไว้ให้ เค้าก็ไม่สามารถจะลงไปกระโดดโลดเต้นบนถนนได้ บางคนอาจคิดว่าเป็นการจำกัดสิทธิของสุนัขมากเกินไป แต่แท้จริงแล้วควรจะมีต่างหาก และต้องหัดให้ชินเสียตั้งแต่ยังเป็นลูกสุนัขด้วย เลือกปลอกคอหรือเชือกจูงที่นุ่ม ใส่สบาย ราคาไม่ต้องแพงมาก็ได้ มาให้เค้าตั้งแต่วันนี้เลยนะจ๊ะ

               2. ภาชนะใส่อาหารและน้ำ อันนี้จำเป็นอย่างยิ่งที่จะทำให้เจ้าตูบรู้จักว่าควร จะกินอาหาร ได้ตรงไหน ควรเลือกที่เป็นพลาสติกแข็ง ราคาไม่แพง แต่ถ้าจะเอาที่คงทนถาวรจริงๆ ก็ต้องใช้เป็นเซรามิคหรือสแตนเลส แต่อาจจะราคาสูงขึ้นมาอีก หากไม่ต้องการให้สุนัขกัดแทะภาชนะอาหารก็ต้องนำออกมา หลังจากให้ อาหารสุนัขกินแล้วประมาณ 20 นาที

               3. อาหารสำหรับสุนัข หากเราซื้อสุนัขมาจากผู้เพาะพันธุ์ก็ควรจะใช้ยี่ห้อเ ดียวกัน แต่หากต้องการจะเปลี่ยน ห้ามเปลี่ยนในทันที ควรจะให้ครบ 10 วันถึง 2 อาทิตย์ไปแล้ว เพื่อป้องกันปัญหาในเรื่องการย่อยอาหาร การเลือกอาหารนั้นควรจะเลือกที่มีคุณค่าสารอาหารครบถ ้วน อย่าเลือกแต่ว่าราคาถูกอย่างเดียว

               4. ของเล่น อันนี้เป็นที่รู้ๆ กันอยู่แล้วว่าของเล่นจะช่วยฝึกทักษะของสุนัขในหลายด ้าน ทั้งยังช่วยแก้เหงาไปในตัวด้วย เราควรจะเลือกของเล่นที่มีความนุ่มพอ ไม่แข็งจนเกินไป จะต้องเลือกของเล่นที่แน่ใจว่าไม่เป็นอันตรายต่อสุนั ขในเวลาที่ เจ้าของไม่อยู่บ้าน มีบางคนแนะนำว่าของเล่นจำพวกเชือกก็ดี เราควรจะนำเชือกชุบน้ำให้เปียกแล้วแช่แข็ง จะช่วยขัดฟัน ขัดหินปูนให้สุนัข

               5. รางวัล การให้รางวัลเมื่อสุนัขทำตามคำสั่งในขณะฝึกอยู่นั้น จะช่วยให้สุนัขมีกำลังใจและเชื่อว่าถ้าเค้าทำเช่นนี้ จะได้รางวั ล เป็นการดีเพราะจะฝึกได้ง่ายขึ้น รางวัลที่ให้อาจเป็นขนมหรือแท่งหนังสำหรับกัดเล่น ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ควรจะคำนึงถึงอายุของสุนัขด้วยว่าเ หมาะสมกับร างวัลประเภทใด

               6. โลชั่นหรือสเปรย์ป้องกันการกัดแทะของสุนัข โลชั่นหรือสเปรย์ชนิดนี่มีไว้สำหรับป้องกันไม่ให้สุนัขไปกัดสิ่ งของที่ไม่ต้องการให้กัด จะมีรสขม เมื่อสุนัขไปกัดและพบว่าไม่อร่อยก็จะเลิกกัดไปเอง

               7. ผลิตภัณฑ์กำจัดกลิ่นและรอยเปื้อนบนพื้นบ้านหรือพรม สิ่งนี้จะช่วนให้เจ้าของหมดปัญหาเรื่องกลิ่นไม่พึงปร ะสงค์จากมู ลของสุนัข
               8. ประตูสำหรับสุนัข หากเราอยากให้สุนัขเป็นอิสระ เข้าออกบ้านได้ตามต้องการ ก็ควรจะทำประตูเอาไว้ให้เค้าด้วย แต่ก็อย่าลืมคำนึงถึงความปลอดภัยเป็นหลัก

                9. อุปกรณ์ทำความสะอาดและตัดแต่งขนสุนัข เลือกแชมพูให้เหมาะสมกับอายุ สีขน สภาพผิวหนัง และสภาพขนของสุนัข รวมทั้งการหัดแปรงฟัน หัดหวีขนให้ สิ่งเหล่านี้ควรทำตั้งแต่ยังเป็นลูกสุนัข





วันอังคารที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2555

สุนัขที่ฉลาดที่สุดในโลก




1. บอร์เดอร์ คอลลี่
เจ้าตูบตัวนี้จะอยู่ไม่สุข ถ้าเราไม่มอบหมายงานให้มันทำ และด้วยความฉลาดเป็นอันดับหนึ่ง มันจึงถูกฝึกในงานยาก ๆ ที่ต้องใช้ทั้งความว่องไวและวินัย แถมยังเลี้ยงแกะได้เป็นที่หนึ่ง

                                                                 
2. พุดเดิ้ล
พูเดิ้ลพันธุ์มาตรฐานนั้นฉลาดมาก ๆ และก็ฝึกง่าย พวกมันชอบอยู่ใกล้ ๆ คน เป็นสุนัขเฝ้าบ้านที่ดี และบางตัวอาจถูกฝึกให้ช่วยล่าสัตว์ได้ด้วยซ้ำ โดยรวมแล้วถือเป็นน้องหมาที่มีความสุขและเซนซิทีฟพอสมควรเลยล่ะ


3. เยอรมันเชพเพิร์ด
ในหมู่สุนัขด้วยกัน สายพันธุ์นี้ขึ้นชื่อเรื่องความกล้าหาญ จงรักภักดี แถมยังฉลาดไม่แพ้ใคร เราจึงมักจะเห็นมันรับหน้าที่สำคัญอย่างเป็นสุนัขตำรวจหรือสุนัขตรวจหาสิ่ง เสพติด

4. โกลเด้น รีทรีฟเวอร์
หนึ่งในน้องหมาที่คนนิยมมากที่สุดในโลก ทั้งซื่อสัตย์ อดทน เข้ากับเด็ก ๆ ได้ดี กระตือรือร้น มีวินัย ฝึกง่าย



5. โดเบอร์แมน พินสเซอร์
เห็นหน้าดุ ๆ แต่โดเบอร์แมนก็ซื่อสัตย์ มันชอบทำงาน และมีความอดทนสุด ๆ บางตัวที่ค่อนข้างเชื่องก็อาจถูกนำมาฝึกเป็นสุนัขที่ใช้ในการบำบัด และเจ้าดำของคุณจะไม่ดุร้าย แต่เชื่อใจได้เสมอ เรื่องเฝ้าบ้านและปกป้องเจ้านาย

วันจันทร์ที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2555

สุนัขที่ดุร้ายที่สุดในโลก


ที่สุดของความดุกับ 7 อันดับสุนัขพันธุ์ดุที่สุดในโลก





 อันดับที่ 7 อัลเซเชี่ยน(เยอรมัน เชฟเฟิด)
สุนัขพันธุ์ “อัลเซเชี่ยน” ถือเป็นสุนัขที่ได้ชื่อว่าดุพอสมควร มีเขี้ยวเล็บแหลมคม แข็งแรงว่องไว เห่าเสียงดัง ขู่ก็น่ากลัว แต่ด้วยความฉลาด เรียนรู้เร็ว เชื่อฟังคำสั่งทำให้ อัลเซเซี่ยนดูจะดีกว่าสุนัขพันธุ์อื่นอยู่มาก รวมทั้งข่าวคราวในเรื่องเสียหายก็ไม่ ค่อยมี ดังนั้น ในวงการบันเทิงบทของ อัลเซเซี่ยน จึงเป็นสุนัขฉลาดแสนรู้ ซื่อสัตย์ ขนาดเป็นพระเอกก็ยังมี แถมยังมีฉากช่วยชีวิตคนอยู่บ่อยๆ (ในชีวิตจริงก็มีบ่อยๆ เหมือนกัน



อันดับที่ 6 โดเบอร์แมน
สุนัขพันธุ์ “โดเบอร์แมน” เคยได้รับความนิยมช่วงหนึ่งในไทย ก่อนการมาถึงของ พิทบูลและร็อดไวเลอร์ นิยมเลี้ยงไว้เฝ้ายาม จึงมีนิสัยดุพอสมควร ในยุโรปเป็นสุนัขพันธุ์หนึ่งที่ใช้ล่า เนื้อเพราะความปราดเปรียวของมัน ด้วยรูป ร่างสูงเพรียว ตัวโตเต็มที่เหมือนกวางตัวย่อมๆ ส่วนเรื่องความเร็วจัดได้ว่าเป็นนักวิ่งตัวหนึ่ง



อันดับที่ 5 บางแก้ว
สุนัขพันธุ์ “บางแก้ว” เป็นสุนัขพันธุ์ไทย บางแก้ว จัดเป็นหมาไทยที่ได้ชื่อว่าดุที่สุดพันธุ์หนึ่ง และไม่น่าเชื่อว่าก่อนหน้านี้ เคยมีข่าวคนใช้ถูกบางแก้วกัดตายเหมือนกัน ทั้งนี้ก็ด้วยพิษสงของเขี้ยวเล็บที่แข็งแรง




อันดับที่ 4 ร็อตไวเลอร์
สุนัขพันธุ์ “ร็อตไวเลอร์” จองพื้นที่หน้าหนึ่งหนังสือพิมพ์บ้านเราอยู่เป็นระยะๆ ด้วยนิสัยดุ กัดแหลกของมันทำให้ล่าสุดถึงกับ มีการสร้างหนังชื่อ ร็อดไวเลอร์ โดยมีเนื้อหาเกี่ยวกับความร้ายกาจของสุนัขพันธุ์นี้



อันดับที่ 3 ฟิล่า บราซิลเลียโร่
สุนัขล่าเนื้อจากต่างประเทศเข้ามาเลี้ยงตามบ้าน เป็นสุนัขพันธุ์ดุ โดยมีสายพันธุ์ดั้งเดิมเป็นสุนัข พื้นเมืองของบราซิล ที่เลี้ยงในไร่ขนาดใหญ่เพื่อขับไล่เสือหรือหมี ฟิล่าเป็นสุนัขตัวโตพละกำลังมาก แต่ว่าปราดเปรียวว่องไว ซึ่งเกิดจากการผสมระหว่าง English Mastiffs, Bulldog พันธ์ใหญ่, Bloodhound และสุนัขเลี้ยงสัตว์ของโปรตุเกส แล้วมีการนำเข้ามาในบราซิลสมัยยุคล่าอาณานิคม และตั้งชื่อสุนัขพันธ์ใหม่นี้ว่า Fila ดังนั้นฟิล่าจึงได้รับข้อดีของสุนัขทั้งสี่สายพันธ์ข้างต้นมาด้วย  สุนัขฟิล่า บราซิลเลียโร่ ไม่ได้เป็นสุนัขทีเหมาะสำหรับทุกคน สัญชาตญาณการปกป้อง เจ้าของเป็นพื้นฐานเบื้องต้นที่มีอยู่ในฟิล่าโดยธรรมชาติ ฟิล่าจะดุมากกับคนแปลกหน้า แต่ตรงกันข้ามฟิล่าจะเป็นสุนัขที่อ่อนน้อมถ่อมตน ขี้อ้อน เชื่องและว่านอนสอนง่ายเอามากๆ กับเจ้าของ




อันดับที่ 2 ทิเบตัน มาสทิสส์
เป็นสุนัขสายพันธุ์โบราณ มีชื่อเรียกในภาษาท้องถิ่นว่า Do-khyi ซึ่งแปลว่า สุนัขที่ต้องถูกผูกไว้ (tied dog) เนื่องจากอุปนิสัยที่หวงถิ่นฐาน และดุร้าย จึงต้องผูกไว้เพื่อความปลอดภัยของบุคคลภายนอก พวกมันเป็น 1 ในสายพันธุ์สุนัข ที่ ดุร้ายที่สุดในโลก สายพันธุ์หนึ่ง โดยชาวธิเบต กล่าวว่าพวกมัน ดุร้าย กล้าหาญ และแข็งแกร่งจนสามารถต่อสู้กับหมี หรือ เสือ ที่บุกเขามากินฝูงสัตว์ที่มันดูแลได้ทีเดียว



อันดับที่ 1 อเมริกัน พิทบูล เทอร์เรีย
สุนัขพันธุ์ “อเมริกัน พิทบูล เทอร์เรีย” เป็นสุนัขพันธุ์ที่ดุที่สุดในโลก ถึงขนาดที่ประเทศอังกฤษแบบไม่ให้มีการเลี้ยงกัน เนื่องจากมีข่าวจนเป็นคดีความ ฟ้องร้องกันไปหลายครั้งหลายครา สุนัขพันธุ์นี้ก็เคยมีข่าวว่ากัดคนตายมาแล้วมากมาย (แต่รักเจ้าของยิ่งชีพ)


วันพุธที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2555

สุนัขทรงเลี้ยงของในหลวง


ประวัติสุนัขทรงเลี้ยงของในหลวง









     คุณทองแดง สุนัขทรงเลี้ยงสุนัขที่ 17 ในพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เป็นสุนัขทรงเลี้ยงที่ติดตามถวายงานรับใช้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทุกครั้ง ไม่ว่าจะเสด็จพระราชดำเนินไปที่ใด พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่ทรงพระราชนิพนธ์ เรื่อง ทองแดง (The Story of Tongdaeng) ออกเผยแพร่เป็นภาษาไทยและภาษาอังกฤษ

               ทองแดง เป็นลูกของ "แดง" สุนัขจรจัดบริเวณซอยศูนย์แพทย์พัฒนา ถนนพระราม 9 เดิมคุณทองแดงเป็นลูกของนังแดงสุนัขจรจัดบริเวณถนนพระราม 9 โดยมีนายแพทย์คนหนึ่งนำทองแดงมาทูลเกล้าถวายให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทอดพระเนตรเมื่อครั้งเสด็จพระราชดำเนินไปเปิดศูนย์การแพทย์พระราม 9 เมื่อทอดพระเนตรทองแดงแล้ว ก็มีรับสั่งว่าให้นำเข้ามาเลี้ยง จากที่เคยเป็นลูกหมาจรจัด คุณทองแดง ก็เข้ามาอยู่ในวัง ส่วนแม่ของคุณทองแดงก็มีผู้รับไปเลี้ยงดูแลเมื่อเข้ามาอยู่ในวังคุณทองแดงก็เป็นที่โปรดปรานของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
  เนื่องจากเป็นสุนัขที่ฉลาดมาก นายแพทย์นพกฤษณ์เล่าต่อว่าความฉลาดของคุณทองแดงก็เช่นเมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเรียกให้คุณทองแดงขึ้นเฝ้าเพื่อที่จะทรงชั่งน้ำหนัก แค่เพียงรับสั่งว่า ทองแดงไปชั่งน้ำหนักคุณทองแดงก็จะทรงเดินขึ้นตาชั่ง หรือ เวลาที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จแปรพระราชฐานไปประทับที่พระตำหนักเปี่ยมสุข พระราชวังไกลกังวลเมื่อเสด็จพระราชดำเนินลงมาเพื่อทรงออกกำลังตรงถนนบริเวณชายหาดซึ่งมีต้นมะพร้าวอยู่ เพียงรับสั่งว่า อ้อมต้นมะพร้าวคุณทองแดงก็จะวิ่งอ้อมต้นมะพร้าวทันที โดยไม่ต้องมีการสอน และเมื่อวิ่งอ้อมต้นมะพร้าวไปสักครึ่งต้น คุณทองแดงก็จะหยุดหันมามองพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวแล้วคุณทองแดงเป็นสุนัขที่ไม่เข้ามาเคลียคลอพระองค์ท่าน เวลาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนิน คุณทองแดงจะนำเสด็จอยู่หน้าพระองค์ท่าน เวลาพระองค์ท่านประทับนั่ง คุณทองแดงก็จะนั่งหมอบอยู่ด้านหน้า ใช้สองขาหน้าเกยกันเหมือนคนกำลังหมอบคลาน   แล้วหันหน้าออกไปด้านนอก คอยระแวดระวังด้านนอกอย่างเดียว

“คุณทองแดง” จึงได้รับการตั้งฉายาว่าเป็น “สุนัขประจำรัชกาล” 
   
 เกิดเมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2541 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงนำมาเลี้ยงหลังจากเสด็จพระราชดำเนินไปเปิดศูนย์การแพทย์พระราม 9 และนายแพทย์คนหนึ่งนำคุณทองแดงมาทูลเกล้าฯ ถวายให้ทรงทอดพระเนตร คุณทองแดงเกิดหลังลูกๆ ของคุณมะลิไม่กี่วัน และทรงยกให้คุณมะลิเลี้ยงดู
ทองแดง มีพี่น้องรวม 7 ตัว ซึ่งชาวบ้านตั้งชื่อให้ว่า
ทองแดง เพศเมีย
คาลัว เพศเมีย
หนุน เพศเมีย
ทองเหลือง เพศผู้ ได้ไปอยู่บ้านของข้าราชบริพารท่านหนึ่ง
ละมุน เพศเมีย
โกโร เพศเมีย
โกโส เพศเมีย
คุณทองแดง" มีลักษณะพิเศษต่างจากลูกสุนัขตัวอื่น คือ มีสายสร้อยรอบคอครึ่งเส้น มีถุงเท้าขาวทั้ง 4 ขา มีหางม้วนขดเป็นวง ปลายหางดอกสีขาว และมีจมูกแด่น ได้เข้าเฝ้าฯ ถวายตัวเมื่อวันที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2541 ขณะมีอายุได้ 5 สัปดาห์ ที่พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงค้นในหนังสือว่า "คุณทองแดง"มีลักษณะคล้ายคลึงกับสุนัขพันธุ์บาเซนจิ ซึ่งเป็นสุนัขพันธุ์โบราณ มีถิ่นกำเนิดทางแอฟริกาใต้ นิยมใช้งานในการล่าสัตว์ แต่"คุณทองแดง"มีขนาดตัวใหญ่กว่าสุนัขพันธุ์บาเซนจิทั่วไป พระองค์จึงทรงเรียกคุณทองแดงว่าเป็น สุนัขพันธุ์ไทยซูเปอร์บาเซนจิ (ก่อนหน้านี้ทรงเรียกว่า เป็นสุนัข พันธุ์เทศ (ย่อมาจาก เทศบาล))

คุณทองแดง มีลูกกับ คุณทองแท้ สุนัขพันธุ์บาเซนจิ จำนวน 9 สุนัข เกิดเมื่อวันที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2543 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระราชทานชื่อให้เป็นชื่อขนมที่มีคำว่า "ทอง" และพระราชทานนามสกุลว่า สุวรรณชาด ทรงโปรดเกล้าฯ ให้ตีพิมพ์หนังสือชื่อ ขนมลูกๆทองแดง ออกเผยแพร่
ทองชมพูนุท เพศเมีย น้ำหนัก 360 กรัม คลอดเอง
ทองเอก เพศผู้ น้ำหนัก 310 กรัม คลอดเอง
ทองม้วน เพศผู้ น้ำหนัก 330 กรัม คลอดเอง
ทองทัต เพศผู้ น้ำหนัก 350 กรัม คลอดเอง
ทองพลุ เพศผู้ น้ำหนัก 300 กรัม ต้องฉีดยาช่วย มีลูกกับคุณหิรัญวารี
ทองหยิบ เพศผู้ น้ำหนัก 350 กรัม คลอดเอง
ทองหยอด เพศเมีย น้ำหนัก 320 กรัม คลอดเอง มีลูกกับคุณน้ำชา
ทองอัฐ เพศเมีย น้ำหนัก 290 กรัม คลอดเอง
ทองนพคุณ เพศผู้ น้ำหนัก 360 กรัม คลอดเอง

ปัจจุบัน คุณทองแดงอาศัยอยู่ที่ วังไกลกังวล อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์

วันอาทิตย์ที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2555

รวมมูลนิธิช่วยเหลือสุนัข

มูลนิธิสงเคราะห์สัตว์ -โดยศิริลักษณ์ และ จำลอง ศรีเมือง

มูลนิธิบ้านสงเคราะห์สัตว์พิการ

ในโอกาสวันขึ้นปีใหม่ วันสำคัญทางพระพุทธศาสนา หรือในโอกาสวันเกิด อะไรก็ตาม บางท่านอยากจะหาวิธีทำบุญ ที่ทำแล้วได้บุญด้วย และช่วยแก้ปัญหาในสังคมได้อีกด้วย ขอเรียนเสนอการช่วยชีวิตสุนัขจรจัด ซึ่งเกิดมาอาภัพ ถูกประหารชีวิตโดยไม่มีการรอลงอาญา หรือลดโทษแต่อย่างไร มีความผิดร้ายแรงมากเพียงเพราะเป็นสุนัขจรจัดเท่านั้น 
แรกเริ่มเดิมที สุนัขก็เหมือนสัตว์อื่นๆ อาศัยอยู่ในป่า ต่อมามนุษย์เอามาเลี้ยง แล้วปล่อยปละละเลยให้กลายเป็นสุนัขจรจัด ก่อเกิดโรคพิษสุนัขบ้า และความเดือดร้อนรำคาญต่างๆ (โดยมีมนุษย์เป็นต้นเหตุ) จนมีความจำเป็นต้องลดจำนวนลงให้ได้

เมืองไทยเป็นเมืองพุทธ แต่ทุกจังหวัดยังฆ่าสุนัขจรจัดทุกวัน วันละมากๆ นอกจากจะเหี้ยมโหด ทารุณต่อสัตว์ที่ไม่มีความผิดแล้ว ยังลดจำนวนสุนัขจรจัดไม่สำเร็จด้วย เพราะใครเห็นรถเทศบาลไล่จับสุนัขก็สงสาร ช่วยปกป้องให้ที่หลบซ่อน การเลี้ยงควบคู่กันไปกับการทำหมัน และใช้มาตรการทางกฎหมาย ย่อมจะได้ผลมากกว่า ข้อสำคัญก็คือ ส่งเสริมให้เกิดความเมตตากรุณา ซึ่งนับวันจะหายากยิ่งขึ้นในสังคมไทย

บุคคลกลุ่มหนึ่งได้ช่วยเลี้ยงสุนัข และแมวจรจัดภายใต้สมาคมสงเคราะห์สัตว์ ต่อมาได้ย้ายที่เลี้ยงจากกรุงเทพฯ ไปกาญจนบุรี และเพื่อความคล่องตัว กับทั้งช่วยแบ่งเบาภาระ จึงได้ตั้งมูลนิธิสงเคราะห์สัตว์ทำหน้าที่เลี้ยงเฉพาะสุนัขและแมวจรจัดเท่านั้น (การสงเคราะห์สัตว์อื่นด้วยวิธีต่างๆ เป็นภาระของสมาคมตามเดิม) 

ปัจจุบันมีสุนัขจรจัดกว่า 2,500 ตัว และแมวจรจัด 200 ตัว เลี้ยงมารวมทั้งหมด 18 ปี โดยไม่ได้รับเงินอุดหนุนจากทางราชการ หรือองค์ กรเอกชนใดๆ เลย ค่าใช้จ่ายทั้งสิ้นตกปีละ 5 ล้านบาทเศษ ได้มาจากผู้มีจิตศรัทธาซึ่งมีรายได้น้อย และรายได้ปานกลาง เมื่อน้ำมันแพงขึ้นมากมาย เงินบริจาคก็ลดลง ถ้าเป็นเช่นนี้ต่อไป 2,700 กว่าชีวิตคงตายก่อนอายุขัยแน่ ทั้งๆ ที่รอดมาแล้วจากการถูกจับไปฆ่า

ถ้าท่านจะกรุณา ทำบุญช่วยชีวิต ง่ายนิดเดียว หลายท่านต้องเสียเงิน “ ทำ พ.ร.บ. ” รถยนต์ทุกปีอยู่แล้ว ก็แวะไปทำที่ร้านเพ็ทช็อปในบริเวณร้านอาหารบ้านสวนไผ่ (อยู่ริมถนนพหลโยธิน ตรงข้ามปากซอยราชครู, ติดธนาคารทหารไทย สนามเป้า จอดรถได้กว่า 100 คัน) ซึ่งเสียเงินถูกกว่าที่อื่น, รายได้นำไปเลี้ยงสุนัขและแมวจรจัด

หรือท่านอาจจะบริจาคเงินวิธีง่ายๆ โดย
โอนเงินเข้าบัญชี มูลนิธิสงเคราะห์สัตว์

ธนาคารกรุงไทย สาขาถนนนวมินทร์ เลขที่ 057-1-31293-4

ธนาคารกรุงเทพ สาขาราชวัตร เลขที่ 146-0-76170-1

ธนาคารไทยพาณิชย์ สาขาราชวัตร เลขที่ 130-2-07375-5

ธนาคารออมสิน สาขาราชวัตร เลขที่ 00-001-20-049746-1

และธนาคารทหารไทย สาขาสนามเป้า เลขที่ 021-2-61335-0

http://bb1981.exteen.com/20080529/entry-

มูลนิธิเพื่อการรักษาสุนัขจรจัด

"การสงเคราะห์สัตว์เป็นเบื้องต้นของการแก้ปัญหาสุนัขจรจัดแบบยั่งยืน การสงเคราะห์เป็นเบื้องต้นในการแก้ไขปัญหาชาติ – บ้านเมืองและจรรโลงพระพุทธศาสนาให้ยั่งยืนสืบไป " 

        เนื่องจากประเทศที่มีการพัฒนาแล้ว ได้มีการแก้ไขปัญหาสุนัขจรจัดอย่างมีระบบ โดยยึดหลักคุณธรรม หลักจรรยาบรรณและศาสนา จึงเป็นที่ยอมรับโดยสากลว่า " การสงเคราะห์สัตว์เป็นเบื้องต้นของการแก้ปัญหาสุนัขจรจัดแบบยั่งยืน " เหตุที่ประเทศไทย เป็นศูนย์กลางของพระพุทธศาสนาของโลก การแก้ไขปัญหาสุนัขจรจัด จึงควรใช้หลักธรรมาภิบาล เพราะมิฉะนั้นจะกระทบถึงจิตใจของชาวพุทธทั่วโลก เพื่อการสร้างองค์ความรู้และทักษะ เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตของมนุษย์และสัตว์ไม่ควรมีการทารุณกรรม การฆ่าสุนัขจรจัด โดยไม่มีเหตุผลจำเป็น และสุนัขจรจัดควรได้รับการเลี้ยงดูให้ได้อยู่ดี กินดี มีสุขภาพดี ไม่เครียด ไม่ติดเชื้อ 

        แต่เนื่องจากมีสุนัขจรจัดเป็นจำนวนมาก การสงเคราะห์ทั้งหมดจึงเป็นไปได้ยากและเป็นที่ยอมรับว่า สุนัขจรจัดมีการเพิ่มจำนวนอยู่เรื่อยๆ เพราะมาตรการต่างๆ ไม่สอดคล้องกัน ขาดองค์ความรู้ – ทักษะ 

        มูลนิธิเพื่อการรักษาสุนัขจรจัด เกิดจากความคิดริเริ่มของ นายสัตวแพทย์เกียรติศักดิ์  โรจน์นิรันดร์ ซึ่งได้มองเห็นคุณประโยชน์ของวิชาสัตวแพทย์ที่ตนเรียนมา เพื่อจุดประกายสังคมถึงแนวทาง – วิธีการแก้ไขปัญหาสุนัขจรจัด ด้วยเจตนารมณ์ “ มอบความเมตตาและเอื้ออาทรต่อชีวิตมนุษย์และสัตว์ ”  การสงเคราะห์เป็นพื้นฐานการพัฒนาจิตใจให้เป็นผู้มีเมตตา– กรุณา ลดความเห็นแก่ตัว คิดถึงชีวิตผู้อื่น และส่งผลกระทบต่อสังคมเป็นลำดับ ตั้งแต่ครอบครัวจนไปถึงประเทศชาติและพระพุทธศาสนา

   จากใจประธาน  "มูลนิธิเพื่อการรักษาสุนัขจรจัด" เมื่อผมได้รับแจ้งจากผู้พบสุนัข ได้รับการทารุณกรรม หรือเจ็บป่วย ด้วยโรคภัยต่าง ๆ ผมจึงให้ความสนใจ และใส่ใจในการถามถึงเคสแต่ละเคส ว่าจะสามารถช่วยเหลือได้หรือไม่ ถ้าผมสามารถช่วยเหลือได้ผมก็จะไปช่วยเหลือในวันถัดไปของการได้รับแจ้งเคส เคสแต่ละเคสมีความแตกต่างกันไป บางเคสถูกฟัน บางเคสถูกโยนมาจากตึกสูง บางเคสเป็นมะเร็งก้อนเนื้อโต ประมาณ 15 cm ก็มี บางชนิดเป็น VG ทางจมูก , มดลูก , อวัยวะสืบพันธ์ กลางหลัง ฯลฯ แต่สิ่งที่ผมค้นพบ ก็คือความมีเมตตาจิตต่อสัตว์ซึ่งชาวบ้านก็ช่วยเหลือโดยให้อาหารสัตว์เหล่านี้ในแต่ละวัน แต่ไม่มีค่ารักษา พอที่จะส่งโรงพยาบาลได้ และขณะนี้คงเหลือเนื้องอกอวัยวะเพศและเนื้องอกอื่นๆหมุนเวียนใน กทมใ & รอบปริมณฑล ~ 1,000 ตัว ส่วนใหญ่เป็นสุนัขจรจัดที่จับไม่ได้ หรือรอให้ผู้ให้อาหารติดต่อเข้ามา

  
มูลนิธิฯตั้งขึ้นเพื่อช่วยเหลือแก้ไขปัญหามิใช่แบกรับภาระสังคมหรือตั้งขึ้นมาแล้วต้องรับผิดทั้งหมด เมื่อไม่พอใจ ไม่ถูกใจก็ให้ร้ายต่างๆนานา    หากมูลนิธิฯช่วยได้ มีหรือจะไม่ช่วยทุกเรื่อง แต่ว่ากว่าจะได้เงินมาแต่ละบาทนั้นยากเหลือเกิน ขอท่านโปรดพิจารณาว่าถ้าท่านเป็นสัตวแพทย์  โดนคนด่าว่าและให้ร้ายอยู่ตลอดเวลา ท่านจะทำอย่างไร ในเมื่องานช่วยเหลือไม่เคยเรียกเก็บเงิน การทำงานกู้ภัยโดยมิได้คำนึงว่ามีเงินหรือไม่ หากท่านมีความไม่เข้าใจในเรื่องใดๆ กรุณาสอบถามด้วยความสุภาพ   

เมื่อไหร่ก็ตามที่ท่านเข้าใจปัญหา มีมุมมองที่ถูกต้องและยอมรับการทำงานที่เป็นไปตามสภาพสังคมและการบริจาคที่ไม่มีความแน่นอน ท่านสามารถช่วยด้วยช่วยกัน

สุดท้ายนี้มูลนิธิฯขอเชิญชวนผู้มีความรู้-ความสามารถที่พร้อมเสียสละมาช่วยด้วยช่วยกันทำงานช่วยเหลือ โดยหมอพร้อมที่จะน้อมรับฟังและแก้ไขให้ทำงานนี้สำเร็จ                       

ผู้ก่อตั้งมูลนิธิเพื่อการรักษาสุนัขจรจัด
น.สพ. อริย์ธัช โรจน์นิรันดร์

วิธีการบริจาคผ่านบัตรเครดิตมี 2 วิธี ดังนี้

วิธีที่ 1 บริจาคเงินเพื่อสนับสนุนการกู้ชีพสุนัขจรจัดของมูลนิธิฯ 
วิธีที่ 1 รายละเอียด : เป็นการเลือกบริจาคเงินผ่านบัตรเครดิต เป็ฯครั้งๆไป โดยสามารถเลือกยอดเงินบริจาคได้ตามต้องการและสามารถเข้าสนับสนุนและบริจาคได้ตลอดเวลาที่ท่านต้องการ ...

วิธีที่ 2 บริจาคเงินเพื่อสนับสนุนการกู้ชีพสุนัขจรจัดของมูลนิธิฯ รายเดือน โดยการตัดบัตรเครดิตอัตโนมัติเป็นประจำทุกเดือน 
วิธีที่ 2 รายละเอียด : เป็นการเลือกบริจาคเงินผ่านบัตรเครดิตอัตโนมัติรายเดือน โดยสามารถเลือกยอดเงินบริจาคได้ตามแต่จิตศรัทธา

http://www.2fsd.com/

มูลนิธิเพื่อการรักษาสุนัขจรจัด

 ก่อตั้งเมื่อวันที่ 10 เมษายน 2546โดยนายสัตวแพทย์อริย์ธัช โรจน์นิรันดร์
เพื่อประโยชน์ต่อสุนัขจรจัดทั้งกรุงเทพฯและปริมณฑลประมาณ 1 ล้านตัว
สามารถพึ่งพามูลนิธิฯรักษาฟรีได้ในยามเจ็บไข้ได้ป่วยตลอดระยะเวลาการทำงานที่ผ่านมาได้ให้การรักษาพยาบาลสุนัขจรจัดเป็นจำนวนมากในโครงการ"กู้ชีพ-รักษ์สัตว์"ผลการดำเนินงานที่ผ่านมาช่วยลดภาระคนรักสัตว์และลดปัญหาการทำทารุณสัตว์สำหรับโครงการ"อุบัติเหตุ-สัตว์พิการ"ทางมูลนิธิฯได้พยายามรณรงค์โครงการ"เลิกทิ้งหมา-เลิกทับหมา-เลิกทำร้ายหมา"ตามสถานที่ต่างๆเป็นจำนวนมากแต่ยังไม่มีแนวโน้มว่าอุบัติเหตุจะลดลงเลยซึ่งทางมูลนิธิฯรับแจ้งเหตุไม่ต่ำกว่า1,500 ตัวต่อปีปัจจุบันทางมูลนิธิฯยังขาดแคลนผู้ให้การสนับสนุน อาทิอุปกรณ์ทางการแพทย์ สถานที่รับเลี้ยงสุนัขจรจัดทำให้ไม่สามารถให้ความช่วยเหลือได้เท่าที่ควร

วัตถุประสงค์: 
วัตถุประสงค์ของมูลนิธินี้เพื่อ
1 เพื่อการรักษาสุนัขจรจัด เมื่อประสบอุบัติเหตุหรือยามเจ็บไข้ได้ป่วย

2 เพื่อช่วยรณรงค์การสร้างจิตสำนึกให้กับประชาชนทั่วไปเกี่ยวกับสุนัขจรจัด

3 เพื่อการช่วยสัตว์ป่วยพร้อมทั้งเป็นหน่วยเคลื่อนที่เร็วเพื่อช่วยเหลือสัตว์ตามที่สาธารณะต่างๆ และสัตว์ที่ถูกกักขัง ถูกทำร้าย

4 พร้อมจะเป็นคลีนิกเคลื่อนที่ พร้อมที่จะบำบัดสัตว์ป่วยทุกชนิด

5 จัดการครูฝึกสุนัขมาฝึกให้สุนัขจรจัด

6 จัดหาเจ้าของให้กับสุนัขจรจัด

7 เพื่อช่วยภาครัฐควบคุม ป้องกันโรคติดต่อ ทำให้สาธารณะสุขชุมชนดีขึ้น

8 เผยแพร่และแลกเปลี่ยนความรู้ การวิจัยและรักษา

9 ช่วยเหลือสุนัขจรจัดให้มีสุขภาพอนามัยที่ดีขึ้นและจัดหาที่พักถาวรต่อไป

10 ดำเนินการเพื่อสาธารณประโยชน์ หรือร่วมมือกับองค์กรการกุศลอื่นๆ เพื่อสาธารณประโยชน์

11ไม่ดำเนินการเกี่ยวกับการเมืองแต่ประการใด
กิจกรรมมูลนิธิ: 
งานด้านรักษา และพักฟื้นสัตว์จรจัดที่บาดเจ็บ
งานด้านสาธารณสุขชุมชน โดยออกพื้นที่ฉีดวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้า ฉีดยาป้องกัน เห็บ หมัด อาบยาขี้เรื้อนสุนัขจรจัด
งานด้านปลูกจิตสำนึก โดยจัดโครงการ "หนังสือหมุนเวียน เพื่อช่วยสุนัขจรจัด และสัตว์เร่ร่อน" และโครงการอบรมให้ความรู้ในการดูแลบริบาลสัตว์เลี้ยงแก่ผู้สนใจ และอาสาสมัครตามวาระเหมาะสม
จัดทำโครงการสร้างโรงเรือนให้แก่สุนัขจรจัดตามวัดต่าง ๆ
ภาพกิจกรรม: 
ข้อมูลบัญชี: 
1. ท่านสามารถร่วมบริจาคเป็นครั้งคราวได้ที่ “เคาน์เตอร์เซอร์วิส” หรือที่ “เซเว่น-อีเลฟเว่น” ทุกสาขาใกล้บ้านท่าน โดยแจ้งความประสงค์ขอร่วมบริจาคให้ “ มูลนิธิเพื่อการรักษาสุนัขจรจัด ” 

2.ท่านสามารถบริจาคเป็น “กองทุนรายเดือน” หักผ่านบัญชีบัตรเครดิต โดยการกรอกรายละเอียดเกี่ยวกับตัวท่านให้ชัดเจนและ Fax เอกสารมาที่ “มูลนิธิเพื่อการรักษาสุนัขจรจัด” หมายเลข 0-2746-6498 , 0-2746-6358

3.ท่านสามารถโอนเงินเข้าบัญชีชื่อบัญชี “มูลนิธิเพื่อการรักษาสุนัขจรจัด” ประเภทบัญชีออมทรัพย์หรือท่านสามารถสั่งจ่ายเช็คในนาม“มูลนิธิเพื่อการรักษาสุนัขจรจัด” 

ธนาคารนครหลวงไทย เลขที่บัญชี 193-2-01580-3
ธนาคารกสิกรไทย เลขที่บัญชี 095-2-76575-2 
ธนาคารกรุงศรีอยุธยา เลขที่บัญชี 299-1-39560-8 
ธนาคารกรุงเทพ เลขที่บัญชี 232-0-74020-8
ธนาคารกรุงไทย เลขที่บัญชี086-1-31446-8 
ธนาคารกรุงศรอยุธยา เลขที่บัญชี299-1-39560-8
ธนาคารไทยพาณิชย์ เลขที่บัญชี117-2-19349-2
ธนาคารกรุงเทพฯ เลขที่บัญชี 232-0-74020-8 
ธนาคารไทยพาณิชย์ เลขที่บัญชี 117-2-19349-2 
4. ร่วมบริจาคทางผ่านบัตรเครดิตออนไลน์บน Website 

http://www.thaigiving.org/node/111

 มูลนิธิเพื่อสุนัขในซอย

มูลนิธิเพื่อสุนัขในซอย (Soi Dog Foundation หรือ SDF) เป็นองค์กรที่ไม่แสวงกำไรและได้จดทะเบียนเป็นมูลนิธิโดยถูกต้องตามกฎหมายใน ประเทศไทย (จดทะเบียนมูลนิธิเลขที่ ภ.ก. 39/2548) ออสเตรเลีย (ทะเบียนเลขที่ 58982568831) และ ฮอลแลนด์ (ทะเบียนเลขที่ 37120202) ปณิธานของเราคือการช่วยเหลือสุนัขและแมวจรจัดที่ถูกทิ้งและถูกทำร้ายใน ประเทศไทย 

มูลนิธิเพื่อสุนัขในซอยก่อตั้งขึ้นด้วยกลุ่ม คนที่ปรารถนาจะทำให้ชีวิตของสุนัขและแมวจรจัดเหล่านั้นดีขึ้น ท่านสามารถเผื่อแผ่ความเมตตาด้วยการสนับสนุนทางการเงินและเป็นอาสาสมัครทั้ง ในและนอกสถานที่

การทำหมันนับเป็นวิธีการที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด มูลนิธิได้ทำหมันสุนัขและแมวแล้วกว่า 29,579 ตัวเมื่อสิ้นเดือนสิงหาคม 2553
  
หากท่านมีความประสงค์จะร่วมเป็นผู้อุปถัมภ์สุนัขหรือแมว หรือ เป็นอาสาสมัครในประเทศหรือต่างประเทศ โปรดคลิ๊กที่ลิงก์สีส้ม

 มูลนิธิต้องการเป็นตัวอย่างแก่ประเทศใน เอเชียในการลดจำนวนสุนัขและแมวจรจัดซึ่งไม่เป็นที่ต้องการของมนุษย์ด้วยการ ทำหมัน และฟื้นฟูสภาพความเป็นอยู่ของพวกเขา

งานของมูลนิธิจนถึงปัจจุบัน 

ทำหมันสุนัขและแมวกว่า 29,579 ตัว ณ เดือนสิงหาคม 2553

   ช่วยเหลือสุนัขและแมวที่ได้รับบาดเจ็บและป่วยนับพันด้วยทีมงานสัตวแพทย์ประจำและฉุกเฉิน

   บริการรักษาฟรีที่คลินิกที่หาดไม้ขาวสำหรับเจ้าของสุนัขและแมวที่ขาดกำลังทรัพย์

    เป็นศูนย์เลี้ยงดูและให้ที่อยู่แก่สุนัขกว่า 300 ตัวที่ถูกทิ้ง ถูกทำร้ายและทารุณกรรม
    ให้อาหารแก่สุนัขและแมวตามวัดและสถานที่อื่นๆกว่า 100 ชีวิต 

       ท่านจะช่วยเราได้อย่างไร การสนับสนุนทางการเงินเป็นวิธีที่รวดเร็วและได้ผลทันที วิธีที่ดีที่สุดคือการช่วยกันเปลี่ยนแปลงชีวิตความเป็นอยู่ของพวกเขาด้วยการอุปถัมภ์สุนัขหรือแมว สนับสนุนซื้อที่ดินผืนที่ 2 มูลนิธิกำลังระดมเงินทุนซื้อที่ดินซึ่งอยู่ ติดกับบ้านของสุนัขที่อยู่ปัจจุบัน เราอยากจะร้องขอให้ผู้สนับสนุนช่วยกันบริจาคเงินซื้อที่ดินซึ่งเป็นอีกวิธี หนึ่งที่จะช่วยเหลือเราได้เช่นกัน โปรดคลิ๊กเพื่อดูรายละเอียด: สนับสนุนซื้อที่ดินผืนที่ 2 ภาพยนตร์มูลนิธิเพื่อสุนัขในซอย – ท่านสามารถซื้อภาพยนตร์นี้ได้ในรูปแบบของ DVD ซึ่งเป็นสารคดีที่ถ่ายทำชีวิตของทีมงานมูลนิธิกับภารกิจประจำวันของพวกเราใน การพิทักษ์ช่วยเหลือสุนัขและแมวในประเทศไทย  คลิ๊กภาพยนตร์มูลนิธิเพื่อสุนัขในซอยเพื่อมอบเป็นของขวัญแด่ท่านและคนที่รัก หากท่านประสงค์จะสนับสนุนในรูปแบบใดดังกล่าวข้างต้นเพื่อมอบเป็นของขวัญ แด่เพื่อนและคนที่รักของท่าน ทางล์จะมอบเป็นของขวัญบสละคนที่ท่านรัก่รักมูลนิธิมีความยินดีที่จะส่งคำขอบ คุณพร้อมกับของขวัญให้แก่บุคคลเหล่านั้น

http://help.108dog.com/1598.html

บ้านสุนัขราชบุรี

ที่อยู่ :8/7 หมู่ 7 บ้านหนองแมว ต.ท่าผา อ.บ้านโป่ง จ.ราชบุรี

โทรศัพท์ : 08 9200 7140

แผนที่ :  การเดินทาง จาก กทม. มุ่งหน้า จ.กาญจนฯจนถึงถนนสาย 323 มีทางแยก ( ตรงไป ราชบุรี ) แต่เราขึ้นสะพานบังคับเลี้ยวขวาไป จ.กาญจนฯ จนกระทั่งเลยแยกเข้า อ. บ้านโป่งไป ประมาณ 10 นาทีก็ถึง

     บ้านสุนัขราชบุรี ดำเนินการโดย ครอบครัวธรรมโรจน์ โดยมีคุณวรพจน์  ธรรมโรจน์ และคุณแม่ เป็นกำลังสำคัญ ให้การดูแลสุนัขประมาณ ๒๐ ตัว และมีแมวอีกประมาณ ๗๐ ตัว รวม ๆ แล้วร่วมร้อยชีวิต ตั้งอยู่ที่ราชบุรี เป็นที่ดินเช่า ไม่ได้ซื้อ เพราะกำลังทรัพย์ไม่พอ  ที่อยู่นั้นอยู่ที่ contact คุณวรพจน์ ติดต่อไปขอความช่วยเหลือจากหน่วยงานต่าง ๆ แต่ก็มักไม่ได้ความช่วยเหลือ ดีที่คุณแม่คุณวรพจน์ พอจะได้รับความช่วยเหลือเป็นอาหารสัตว์เล็ก ๆ น้อย ๆ จากสมาคมป้องกันการทารุณสัตว์แห่งประเทศไทยบ้างในบางคราว แต่ไม่แน่นอน สุนัข และแมวที่บ้านสุนัขราชบุรี ได้รับอาหารวันละ ๒ มื้อ เช้า-อาหารเม็ด เย็น-ข้าวคลุกโครงไก่ / เนื้อสัตว์ / ผัก บ้านสุนัขราชบุรีต้องการความช่วยเหลือ เพราะว่าค่าใช้จ่ายสูงมาก ทั้งอาหาร ยา อุปกรณ์ หรือค่ารักษาพยาบาล บัญชีธนาคารของคุณวรพจน์นั้น เป็นสาขา หนองมน หลาย ๆ คนคงแปลกใจ คุณวรพจน์มีครอบครัว และทำงานอยู่ชลบุรีครับ ส่วนคุณแม่นั้น ต้องอพยพจากกรุงเทพมหานคร เพราะเพื่อนบ้านทนรำคาญน้องหมา น้องแมว ไม่ไหว   คติประจำใจชาวบ้านสุนัขราชบุรี   " ไปลำบากเอาข้างหน้า ขอให้หมามันอยู่ได้ "  
ร่วมบริจาคช่วยเหลือสุนัขจรจัดที่น่าสงสาร โดยการโอนเข้าบัญชีดังนี้

ธนาคาร : กสิกรไทย

สาขา : หนองมน

ประเภท : ออมทรัพย์

ชื่อบัญชี : วรพจน์  ธรรมโรจน์

เลขที่บัญชี : 275-2-56445-3

http://help.108dog.com/1597.html


วันพุธที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

ประเภทของอาหารสุนัข





อาหารและเทคนิคการให้อาหาร

       อาหารที่ดีเป็นมูลฐานสำคัญสำหรับการเพาะเลี้ยงที่ดี สุนัขก็เช่นเดียวกับมนุษย์ต้องการอาหารนับตั้งแต่ผสมติดในท้อง เกิดมาสู่โลก จนถึงตายไปเพื่อการมีชีวิตอยู่อย่างมีสุขภาพสมบูรณ์ สำหรับอาหารที่ใช้เลี้ยงนั้น หากแยกแยะตามคุณค่าทางโภชนาการ ก็สามารถแบ่งออกเป็น 6 ประเภท คือ โปรตีน คาร์โบไฮเดรต ไขมัน วิตามิน เกลือแร่ (แร่ธาตุ) และน้ำ

หลักการใช้อาหาร

ในการใช้อาหารสำหรับเลี้ยงสุนัข มีหลักสังเกตและข้อปฏิบัติที่ควรทราบไว้ดังนี้

สุนัขมีขนาดกระเพาะเล็ก ดังนั้น จึงต้องให้เนื้อหรืออาหารสำเร็จและเทียบตามส่วนแล้วอาหารที่จะย่อยนั้น ควรมีขนาดเล็กเช่นเดียวกัน
ถ้าเป็นสุนัขให้นมลูก อาหารที่กินเข้าไปส่วนใหญ่จะจ่ายออกไปเลี้ยงลูกสุนัขโดยทางน้ำนม ลูกสุนัขในระยะแรกจึงควรเลี้ยงด้วยนมแม่จะดีกว่าการใช้นมวัวเลี้ยง ซึ่งธาตุอาหารน้อยกว่า ในระยะต่อมาก็ควรให้อาหารประเภทเนื้อหรืออาหารสำเร็จให้มาก จึงจะถือว่าเป็นวิธีบำรุงเลี้ยงที่ถูกต้อง
ในกระเพาะสุนัขมีกรดไฮโดรคลอริคในปริมาณที่สูง
 ดังนั้น จึงช่วยทำให้การย่อยอาหารประเภทกระดูกและก้อนเนื้อใหญ่ ๆ เป็นไปโดยง่ายขึ้น
ฟันสุนัขปรับตัวของมันสำหรับกัดและตัดเท่านั้น ไม่ใช่สำหรับการบดเขี้ยวเช่นสัตว์ประเภทกินเมล็ดพืช จริงอยู่แม้ว่ามันจะคุ้นเคยกับการกินอาหารได้เกือบทุกชนิดก็ตาม แต่โครงกระดูกและร่างกายของมันยังคงเป็นสัตว์กินเนื้ออยู่นั่นเอง ด้วยหลักนี้จึงถือว่าเนื้อเป็นอาหารธรรมชาติ และเหมาะสำหรับใช้เลี้ยงสุนัขด้วยหระการทั้งปวง
สุนัขมีน้ำลายสำหรับทำลายสิ่งบูดราได้ในปริมาณที่น้อย และการย่อยแป้งต้องใช้กรดไฮโดรคลอริคในปริมาณที่สูง ด้วยเหตุนี้ กระเพาะสุนัขจึงไม่ปรับตัวสำหรับการย่อยแป้ง (แต่แป้งจะถูกส่งไปย่อยในลำไส้เล็ก)
หากระลึกถึงความจริงต่าง ๆ จากข้อ 1-5 นี้ รวมทั้งประเภทของอาหารสุนัขดังกล่าวมาแล้ว จะได้หลักในการใช้อาหารสำหรับเลี้ยงสุนัขว่าจะต้องเป็นประเภทเสริมสร้างร่างกาย สร้างพลังงาน ให้ความร้อน รวมทั้งให้วิตามิน และเกลือแร่ที่สำคัญ ดังนั้น ส่วนประกอบของอาหารสุนัขมีดังนี้

เนื้อ ซึ่งมีโปรตีนและแร่ธาตุ ๆ เช่น เนื้อแกะ
ไขมัน ให้ความร้อน และวิตามิน เอ ดี
ผัก ข้าว และเมล็ดธัญพืชทุกชนิด ทำให้เกิดพลังงานและวิตามินบี วิตามินอี
ผักใบเขียวดิบ ๆ หรือต้มอ่อน ๆ มีเกลือแร่ วิตามินซี และวิตามินอื่น ๆ
ไข่ ซึ่งมีไขมัน เหล็ก ฟอสฟอรัส และวิตามินต่าง ๆ เช่น เอ ดี เป็นต้น เพื่อช่วยการเจริญเติบโตของร่างกายและต้านทานโรค
ตับปลาหรือตับสัตว์ชนิดใดชนิดหนึ่ง นับว่ามีประโยชน์ต่อร่างกายมากทีเดียว
เมื่อได้หลักการในเรื่องการให้อาหารสุนัขดังนี้แล้ว การพิจารณาในขั้นต่อไปก็คือ ความจำเป็นถึงการให้อาหารสุนัข ในทางปฏิบัติสุนัขส่วนมากพอใจที่จะได้รับอาหารเพียงวันละ 1-2 เวลาเท่านั้น คือ เช้าและเย็น การให้อาหารในเวลาหนึ่ง ๆ ไม่ควรให้มันกินมากจนล้นกระเพาะ ทั้งนี้ก็เพราะว่าจะทำให้ระบบการย่อยอาหารของมันของมันต้องทำงานหนักเกินไปและทรุดโทรมเร็วขึ้น ซึ่งเป็นการได้รับอาหารที่ผิดธรรมชาติของมันถ้าเป็นอาหารประเภทแป้งหรือน้ำต้มเนื้อรวมกับผักควรให้สุนัขกินในมื้อแรก ส่วนอาหารประเภทเนื้อควรให้มื้อหลังจะเป็นการดีอย่างยิ่ง แต่จะอย่างไรก็ตามอย่าได้ให้ทันทีก่อนหรือหลังการออกกำลังมาก ๆ ของสุนัข สำหรับการเลี้ยงสุนัขในปัจจุบันถ้าผู้เลี้ยงใช้อาหารสำเร็จรูปสำหรับสุนัขที่มีขายอยู่ในขณะนี้เลี้ยงแล้ว ส่วนใหญ่จะได้คุณค่าทางอาหารที่เพียงพอต่อความต้องการ แต่ถ้าในท้องถิ่นนั้นหาซื้อได้ยากก็ควรใช้อาหารที่หาได้เท่าที่มีโดยคำนึงถึงคุณค่าทางโภชนาการของอาหารนั้นด้วย

อาหารสำหรับสุนัขโตเต็มที่ (วัยหนุ่มสาว) 

เมื่อสุนัขโตเต็มที่ผู้เลี้ยงอาจให้อาหารวันละ 1 หรือ 2 ครั้งก็ได้ตามแต่จะสะดวกแต่อาหารนั้นจะต้องมีคุณภาพสูง เช่น อาหารที่มีส่วนผสมของเนื้อแกะ หรือจะเป็นอาหารสำเร็จรูป ซึ่งปริมาณการให้อาหารสำหรับสุนัขพันธ์นี้โดยเฉลี่ยไม่เกิน 2 ถ้วยตวง/1ตัว ควรให้ในตอนเย็นจะเป็นเวลาที่ดีที่สุดเพราะจะทำให้สุนัขไม่กวนในเวลากลางคืน

อาหารสำหรับสุนัขแก่

สุนัขแก่มีความต้องการผิดจากสุนัขหนุ่มสาว คือ ต้องการอาหารที่ย่อยง่าย มีโปรตีนสูง แต่มีไขมันและคาร์โบไฮเดรตน้อย อาหารที่ให้ไม่ควรแข็งหรือเหนียว เพื่อป้องป้องกันปัญหาเรื่องฟัน และควรให้กินอาหารวันละ 2 เวลา จะดีกว่าให้กินวันละครั้งในจำนวนมาก ๆ ในการเลี้ยงสุนัขแก่ของท่านให้มีอายุยืนนานนั้นผู้เลี้ยงจำเป็นต้องเลี้ยงสุนัขแก่ให้แข็งแรงอยู่ หากพบว่าสุนัขแสดงอาการผิดปกติควรรีบตรวจรักษาโดยเร็วอาหารสำหรับสุนัขเจ็บป่วย

หลักการให้อาหารสุนัขขณะเจ็บป่วย

ก็คือต้องให้บ่อย ๆ เพราะขณะเจ็บป่วยกำลังในการย่อยของสุนัขจะอ่อนลง หารให้อาหารมากไปแล้ว นอกจากจะไม่ให้ประโยชน์แล้วยังไปรบกวนอวัยวะเหล่านั้นด้วย ถ้าทำได้แล้วทางที่ดีควรให้สุนัขเลือกกินอาหารเองตามใจชอบ การให้อาหารโดยการบังคับจะทำก็ต่อเมื่อสุนัขไม่กินอาหารเหล่านั้นหากสุนัขแสดงอาการไม่สนใจต่อก้อนเนื้ออันโอชะที่หยิบยื่นให้แก่มันแล้ว ผู้เลี้ยงจำเป็นจะต้องให้อาหารข้นโดยการป้อน ในการป้อนนี้ควรป้อนอาหารที่เป็นน้ำหรือของเหลวอ่อน ๆ ด้วยช้อนหนือทัพพีปากแคบ ๆ วิธีป้อนก็ให้ค่อย ๆ พยุงศีรษะสุนัขขึ้นแล้วอ้าริมฝีปากให้ห่างออกเป็นกระพุ้ง แล้วค่อย ๆ เทอาหารลงในปาก และต้องพยุงศีรษะไว้จนกว่าสุนัขจะกลืนอาหารนั้นแล้วจึงค่อยป้อนต่อไป เมื่อป้อนอาหารเสร็จแล้วควรล้างและเช็ดเศษอาหารที่ปากออกให้หมด อย่างไรก็ตาม อาหารไม่ใช่ยารักษาโดยตรง เพียงแต่ช่วยให้สุนัขป่วยอยู่ได้ ฟื้นตัวหรือหายเป็นปกติเร็วขึ้น

อาหารสำหรับสุนัขท้องเสีย

    อาหารที่จะให้ต้องย่อยได้ง่ายและไม่ขัดขวางการหายใจของแผลในกระเพาะและลำไส้ ถ้ามีอาการท้องเสียรุนแรงหรือมีอาเจียนร่วมด้วย ควรนำสัตว์ไปพบสัตวแพทย์ เพื่อให้น้ำเกลือ ทดแทนน้ำและเกลือแร่ที่สูญเสียไป เพราะฉะนั้น อาหารที่ให้ควรเป็นอาหารอ่อน ย่อยได้ง่าย ไม่ระคายเคืองกระเพาะและลำไส้ มีพลังงานมากเพียงพอ ซึ่งได้จากพวกคาร์โบไฮเดรต แต่ไขมันไม่ควรให้มาก ลักษณะอาหารเช่นนี้ยังใช้ได้ในลูกสุนัขที่เพิ่งอย่านม เนื่องจากไม่ระคายเคืองต่อทางเดินอาหาร

อาหารสำหรับลูกสุนัขท้องผูก

     อาหารควรมีสารเยื่อใยมาก เพื่อช่วยการบีบตัวของลำไส้และเพิ่มปริมาณของลำไส้ ทั้งยังช่วยดูดน้ำในส่วนของลำไส่ใหญ่อีกด้วย

ให้อาหารอย่างน้อย 2 ครั้งต่อวัน เพื่อกระตุ้นการบีบตัวของลำไส้ ให้ดันก้อนอาหารไปยังส่วนสุดท้าย
พาสุนัขออกกำลังการบ้างสัก 30-60 นาที หลังจากกินอาหาร เพื่อกระตุ้นการถ่ายอุจจาระและการบีบตัวของกล้ามเนื้อท้อง
ตรวจดูที่ก้นสุนัขด้วย เพราะอาการท้องผูกอาจเกิดจากโรคทางทวารหนักหรือได้รับการกระแทกจนบาดเจ็บไม่สามารถถ่ายอุจจาระได้
หาน้ำสะอาดให้กิน
จำกัดอาหารพวกคาร์โบไฮเดรตและไขมัน
จะเห็นได้ว่าอาหารนี้มีพลังงานต่ำ เพราะให้คาร์โบไฮเดรตและไขมันน้อยลง แต่มีสารเยื่อใยเพิ่มมากขึ้น

จะไม่ค่อยย่อยและยังอมน้ำไว้ได้มากในส่วนลำไส้ใหญ่อีกด้วย อีกทั้งยังช่วยลดการหิวของสุนัขได้ อาหารสูตรนี้ยังเหมาะกับสุนัขที่อ้วนเกินไป และสุนัขที่เป็นโรคเบาหวาน คือจะช่วยลดปริมาณน้ำตาลในเลือด ส่วนแม่สุนัขที่กำลังท้องและให้นมลูก ไม่ควรให้อาหารนี้รวมทั้งสุนัขที่เป็นโรคไตด้วย

อาหารสำหรับสุนัขท้อง

     สำหรับสุนัขแม่พันธ์ต้องบำรุงดูแลอย่างใกล้ชิด เราต้องให้อาหารมากกว่าปกติ อาหารที่ใช้เลี้ยงสุนัขท้องจะต้องมีโปรตีน แคลเซี่ยม และวิตามินสูง แต่ไขมันต่ำ ขนาดและปริมาณที่ให้ในระยะ 6 สัปดาห์แรกของการตั้งท้องให้ในขนาดเดียวกับสุนัขโตเต็มวัยและค่อย ๆ เพิ่มปริมาณขึ้นใน 3 สัปดาห์สุดท้ายก่อนคลอด โดยให้เพิ่มอาหารขึ้นประมาณ 15-20% ของน้ำหนักตัว

อาหารสำหรับลูกสุนัข

     ลูกสุนัขที่อยู่ในระหว่างกินนมแม่และหลังอย่านมใหม่ ๆ เป็นช่วงที่ลูกสุนัขต้องการโปรตีนสูงมาก อายุจากแรกเกิดถึง 1 เดือน โปรตีนจะได้จากน้ำนมแม่ แต่หลังจาก 1 เดือนไปแล้ว แม่สุนัขจะแสดงอาการเกี้ยวกราดขู่คำราม เมื่อลูกของมันจะกินนม
      ช่วงนี้เราจะต้องให้ลูกสุนัขได้อาหารจากจานใส่อาหารแทน กล่าวคือ หลังจากที่ลูกสุนัขได้คลอดออกมาสู่โลกภายนอกใหม่ ๆ จะยังไม่ลืมตา แต่จะใช้จมูกนำทางและตะเกียกตะกายหาเต้านมดูดเอง ดังนั้นเพื่อให้ลูกสุนัขได้รับน้ำนมเหลืองจากแม่เร็วขึ้น ควรช่วยจับลูกสุนัขใส่เต้านมแม่ ต่อไปลูกสุนัขจะหาเต้านมกินได้เอง จากระยะนี้ต่อไปผู้เลี้ยงเพียงแต่จะคอยระวังอย่าให้แม่สุนัขทับลูก และคอยดูแลให้ลูกสุนัขที่อ่อนแอได้มีโอกาสกินน้ำนมแม่อิ่มเท่ากัน เพราะตัวที่แข็งแรงกว่าจะแย่งเต้านมและดูดกินหมดก่อนเสมอสำหรับลุกสุนัขที่มีขนาดครอกใหญ่คือ มีจำนวนมากเกินไป น้ำนมแม่มีไม่พอให้กิน ควรเพิ่มน้ำนมโคให้กินทดแทน เพื่อป้องกันไม่ให้แม่สุนัขมีสุขภาพทรุดโทรมลงมากควรอย่านมเมื่อลูกสุนัขอายุได้ประมาณ 4-6 สัปดาห์ หรือ 1 เดือน ขึ้นไปเป็นอย่างน้อย การหัดให้ลูกสุนัขอย่านมนี้อาจทำได้โดยการให้อาหารทดแทน ซึ่งผสมได้โดยใช้น้ำอุ่น ๆ 1 ถ้วย ผสมน้ำหวาน 1 ช้อน และน้ำอุ่น 1 ถ้วย ใส่อาหารผสมนี้ในจานปากกว้างและตื้น ๆ หัดให้ลูกสุนัขกินโดยจับหัวลูกสุนัขให้ปากจุ่มลงในจานอาหาร ลูกสุนัขจะเลียและเริ่มกินเองได้ ต่อมาก็ให้อาหารอื่น เช่น เนื้อ หัวปลา ลูกชิ้น และไข่ เป็นต้น เพิ่มลงไปในอาหารผสมทีละน้อยจนกระทั่งกินอาหารนี้ได้โดยไม่ต้องมีน้ำนมในระหว่างการหัดให้อย่านมนี้ควรแยกแม่สุนัขออกจากลูกสุนัข และให้ลูกลูกสุนัขกินนมห่างขึ้นเรื่อยๆ พร้อมกับให้อาหารเสริมทดแทน จนกระทั่งไม่ต้องกินนมแม่อีกต่อไป เมื่ออายุได้ 5-6 เดือนขึ้นไป ก็ให้กินอาหารประมาณ 3.5% ของน้ำหนักตัว ควรให้อาหารวันละ 3 เวลา ประมาณ 3 เดือน แล้วจึงค่อยลดลงให้เหลือวันละ 2 เวลา สำหรับลูกสุนัขที่มีอายุ 8-9 เดือนเต็มลูกสุนัขมีความต้องการโปรตีนสูงถึง 2 เท่าของสุนัขที่โตเต็มที่ เกลือแร่ที่ลูกสุนัขต้องการมากคือ แคลเซียมและฟอสฟอรัส ดังนั้น อาหารที่ควรให้ลูกสุนัขคือ เนื้อบด ถ้าไม่สามารถบดได้อาจใช้วิธีสับ แล้วนำไปต้มเพื่อป้องกันพยาธิ บางมื้ออาจเสริมไข่ต้ม การทดแทนเกลือแร่ เราอาจให้ตับต้มหรือที่ให้เด็กอ่อน แต่ไม่ควรให้กระดูกในระยะนี้ เนื่องจากระบบย่อยอาหารของลูกสุนัขยังทำงานได้ไม่เต็มที่ โดยเฉพาะกระดูกไก่หักจะมีความคมมาก อาจติดหรือแทงอวัยวะย่อยอาหารได้ 
      การให้นมผงละลายน้ำที่มีขายสำหรับสุนัข หรือนมผงสำหรับเด็กอ่อน นอกจากจะสามารถให้เกลือแร่ที่ลูกสุนัขต้องการแล้ว ยังมีวิตามินตามที่มันต้องการด้วย

กระดูกเป็นของต้องห้ามเลยนะครับ ถึงแม้พวกเธอจะชอบเป็นชีวิตแต่อย่าใจอ่อนให้เป็นอันขาดเพราะนั้นจะเป็นอันตรายต่อสุนัขเป็นอย่างมากเลยที่เดียว

ชนิดของอาหารสุนัข


เกรดธรรมดา
เกรดพรีเมี่ยม
เกรด ซุเปอร์ พรีเมี่ยม
เกรด Holistic

เกรดธรรมดา
-          เพดดีกรี

-          สมาร์อาท

-          ซีพี

-          อัลโป

-          ดร.เลิฟเวอร์  ทำจากสาหร่ายสไปรูลิน่า แหล่งของสารอาหารกว่า 40 ชนิด

-          PRISM

เกรดพรีเมี่ยม
-          Science Diet

-          Royal Canin (จะทำให้ขนเป็นสีนวล)

-          Eucanuba

-          Field Trial

-          Bree Derline

-          Euro Premium (รักษาข้อ)

เกรดซูเปอร์ พรีเมี่ยม
-          Regal

-          Pro Plan

-          Proformance

-          Cadina

-          Neutrine

เกรด Holistic
-          Regal  หมาพันธ์เล็ก เช่น ชิซุ บำรุงขนขาว (เหมาะกับสุนัขพันธ์ขนยาว)

-          Pinnacle



ข้อดีของอาหารเม็ดชุปเปอร์พรีเมียม (Super Premium Dry Food)

สารอาหารที่ถูกต้องตรงกับความต้องการที่แท้จริงของสุนัข

   ด้วยความแตกต่างทางโครงสร้าง และสรีรวิทยาในสุนัข อาทิเช่น การเจริญเติบโตของสุนัข, ช่วงสุนัขโตเต็มวัย ,น้ำหนักเฉลี่ยในสุนัขโตเต็มวัย, ความสามารถในการย่อยอาหารของสุนัข ,ช่วงอายุยืนยาวโดยเฉลี่ย และสายพันธุ์ของสุนัข Royal Canin Size Hralth Nutrition จึงได้แบ่งกลุ่มสุนัขออกเป็น 4 กลุ่ม คือ มินิ(Mini) ,มีเดียม(Medium) ,แม๊กซี่(Maxi) ,ไจแอนท์ (Giant) ตามน้ำหนักตัว จากการมุ่งมั่น ศึกษา วิจัย Royal Canin ได้พัฒนาสูตรอาหาร Size Health Nutrition เพื่อตอบสนองความต้องการของสุนัขอย่างแท้จริง

สาระน่ารู้  : อาหารเม็ดซุปเปอร์พรีเมี่ยม อาหารสุนัข เกรดพรีเมี่ยม จึงมีสารอาหารจำเป็นต่อสุขภาพ ได้แก่ แร่ธาตุในรูปคีเลท กลูโคซามีน และคอนดรอยติน ช่วยบำรุงข้อต่อ สารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยชะลอการเสื่อมของเซลล์ เป็นต้น

ความสามารถในการย่อยอาหารได้สูง

อาหารเม็ดซุปเปอร์พรีเมียมที่ดี ควรมีคุณสมบัติในการย่อยได้สูง และง่ายต่อการดูดซึมสารอาหารไปใช้ประโยชน์ (สังเกตได้จากปริมาณการขับถ่ายของสัตว์เลี้ยง) ขึ้นอยู่กับคุณภาพของวัตถุดิบ และการผลิตที่ดี

สาระน่ารู้ : 90% ของสัตว์แพทย์ในฝรั่งเศส แนะนำให้ใช้อาหารเม็ดสำหรับการเลี้ยงสุนัข และ แมว

ความน่ากินสูง

    กลิ่นคือปัจจัยสำคัญต่อการกินเลือกอาหารของสุนัข และแมว(รสชาติไม่มีผลต่อการเลือกกินขอสัตว์เลี้ยง)Royal Canin ได้ศึกษาค้นคว้า และพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ในเรื่องของกลิ่นอาหรเพื่อความน่ากินสูง พร้อมทั้งคิดค้นวิธีการเก็บรักษาคุณภาพกลิ่นรูปทรง และวิตามิน ให้คงคุณภาพให้ยาวนานขึ้น




การเลือกอาหารสุนัข ที่มีคุณภาพ

อาหารสำเร็จรูปสำหรับสุนัข แบ่งออกเป็น 3 ประเภทได้แก่

          1. อาหารสำเร็จรูปทั่วไป (Generic) ส่วนมากจะไม่มีการติดยี่ห้อ บรรจุอย่างง่ายๆ ผลิตและขายกันในท้องถิ่นใช้วัตถุดิบ ที่ราคาถูกหาได้ในพื้นที่ โรงงานผลิตอาจจะมีการควบคุมคุณภาพมากหรือน้อยก็ได้

          2. อาหารสำเร็จรูปยอดนิยม (Popular Brand) เป็นยี่ห้อที่มีวางขายทั่วไปตามร้านค้า ซุปเปอร์มาร์เก็ต ซึ่งโดยมากมักใช้ วัตถุดิบหลายตัวเป็นแหล่งโปรตีนทำให้ดูเปอร์เซ็นต์โปรตีนสูงเป็นจุดขายในตลาด เน้นความน่ากินมากกว่าคุณค่าทางอาหาร ที่เหมาะสม

          3. อาหารสำเร็จรูปคุณภาพสูง (Premium Brand) เป็นอาหารที่มีคุณภาพสูงจะวางขายในคลีนิคสัตวแพทย์ หรือร้าน Petshop ที่มีคนขายคอยแนะนำ เป็นอาหารที่ใช้วัตถุดิบอย่างดี ย่อยง่ายให้คุณค่าทางโภชนาการที่เหมาะสม เน้นที่สุขภาพของสัตว์เลี้ยง เป็นสิ่งสำคัญ ทำให้ราคาต่อหน่วยค่อนข้างสูง เพราะอาหารตัวนี้มีความเข้มข้นทำให้กินปริมาณน้อยแต่ได้คุณค่าทางสารอาหารครบถ้วน

          แน่นอนครับว่าการตัดสินใจเลือกซื้ออาหารสำเร็จรูปนั้นคงต้องดูจากปัจจัยหลายๆ อย่างประกอบกันเป็นต้นว่าราคาของ สินค้าและคุณภาพผลิตภัณฑ์ โดยมีข้อพจารณาเลือกซื้ออาหารสุนัขสำเร็จรูปที่มีคุณภาพ ดังนี้

      มีความชอบกินสูง
          สุนัขควรดมกลิ่นทันทีที่เทอาหารลงชาม หรือไม่ควรทิ้งไว้เกิน 1 ชั่วโมง

      มีความครบถ้วนของสารอาหารสมบูรณ์ และสมดุลไม่มากหรือน้อยเกินไป
          ซึ่งดูได้จากวัตถุดิบที่มีคุณภาพจะมีระบุอยู่ด้านหลังถุงอาหาร โดยเรียงตามปริมาณวัตถุดิบที่มีมากที่สุดไปหาน้อย

          เป็นอย่างไรบ้างครับสำหรับวิธีการเลือกซื้ออาหารสำเร็จรูปที่ดีให้กับสุนัขและแมวของท่านหากท่านสามารถเลือกอาหาร ที่ดีมีคุณภาพสูงให้กับพวกเขาได้แล้ว ก็คงไม่จำเป็นต้องให้อาหารเสริมอื่นๆ เพิ่มเติมอีกจะยิ่งช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น ได้มากขึ้น แถมสุนัขที่ท่านรักยังมีขนสวยงาม สุขภาพสมบูรณ์แข็งแรงอยู่เป็นเพื่อนท่านได้อีกนานยิ่งขึ้นด้วยครับ.....

อาหารต้องห้ามสำหรับสุนัข 



อาหารเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้สุนัขของคุณมีสุขภาพร่างกายแข็งแรง และมีชีวิตอยู่ได้อย่างมีความสุข ปราศจากโรคภัยไข้เจ็บมีอายุยืนยาว ดังนั้นการให้อาหารแก่สุนัข ผู้เลี้ยงจึงจำเป็นต้องพิถีพิถันอยู่บ้าง ผู้เลี้ยงหลายคนนิยมให้อาหารสำเร็จรูป เพราะสะดวกสบายไม่ต้องเสียเวลาในการเตรียมอาหารสดให้ยุ่งยาก เพราะกว่าจะครบถ้วนด้วยสารอาหารก็จะต้องมีทั้ง ข้าว ตับ และผัก การใช้อาหารเม็ด หรืออาหารกระป๋องดูจะง่ายและให้สารอาหารแก่สุนัขอย่างครบถ้วนมากกว่า อีกทั้งอาหารเม็ดหรืออาหารสำเร็จรูปยังทำให้อุจจาระของสุนัขแข็งเป็นก้อน ง่ายต่อการเก็บทำความสะอาดอีกด้วย

แต่ก็มีผู้เลี้ยงบางกลุ่มนิยมให้อาหารสุนัขตามแต่ความต้องการของตนเอง โดยผู้เลี้ยงเข้าใจผิดว่า สุนัขมีความต้องการ และความสามารถในการกินได้เช่นเดียวกับคน ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นความคิดที่ผิด อาหารที่คุณให้อาจย้อนกลับมาทำอันตรายถึงชีวิตแก่สุนัขแสนรักของคุณได้ 

อาหารต้องห้าม 3 อย่างของสุนัข ที่ผู้เลี้ยงควรหลีกเลี่ยงไม่นำมาให้สุนัขกินได้แก่

1 กระดูกไก่ ปลา 

หากไม่จำเป็นคุณไม่ควรให้กระดูกไก่ ปลา ให้เจ้าสุนัขของคุณกินโดยเด็ดขาด แม้ว่าเจ้าสุนัขของคุณจะชื่นชอบอาหารเหล่านี้เพียงใด เพราะ กระดูกไก่ ก้างปลา อาจแตกหักระหว่างที่สุนัขขบเคี้ยวสร้างมุมแหลม และความแหลมนี่เองอาจทิ่มแทงทำอันตรายสุนัขของคุณได้ ผู้เลี้ยงหลายคนให้เหตุผลในการให้อาหารเหล่านี้แก่สุนัขว่า ต้องการให้แคลเซียมแก่สุนัข ซึ่งความจริงแล้วผู้เลี้ยงสามารถให้เม็ดแคลเซียม หรือนมอุ่นๆแก่สุนัขแทนได้

ทั้งนี้หมายรวมถึงอาหารที่มีลักษณะเป็นของมีคมขนาดเล็กอื่นๆ เช่น ส่วนหางของกุ้ง เพื่อนของผู้เขียนเคยสูญเสียสุนัขจากกรณีดังกล่าวมาแล้ว เนื่องจากไปเที่ยวทะเลซื้ออาหารทะเลมารับประทานที่บ้าน พอเหลือก็นำมาให้สุนัขกินอย่างไม่รู้เท่าทัน ผลปรากฏว่าสุนัขกินส่วนหางของกุ้งเข้าไปติดคอเสียชีวิต

2 หัวหอมและกระเทียม 

ไม่ควรให้สุนัขรับประทานในปริมาณมาก เพราะหัวหอมและกระเทียม มีส่วนประกอบของกำมะถันอยู่มาก เพราะฉะนั้นจึงไม่เหมาะแก่การผสมในอาหารให้กับเจ้าตูบ เนื่องจากว่า สารกำมะถันนี้จะทำลายเซลล์เม็ดเลือดแดงของสุนัข จะทำให้โรคโลหิตจาง และโรคเลือดไหลไม่หยุดได้

3 ช็อคโกแลต 

หลายคนเคยให้ช็อคโกแลตกับสัตว์เลี้ยงของท่าน โดยไม่รู้ว่าช็อคโกแลตเหล่านี้ส่งผลร้ายต่อสุนัข สาเหตุเพราะช็อคโกแลตมีส่วนประกอบของสารชนิดหนึ่งชื่อว่า theobromine ซึ่งเป็นกลุ่มเดียวกับ สารพวก caffeine(ซึ่งมีในพวกกาแฟ โกโก้) สาร theobromine นี้เมื่ออยู่ในร่างกายมันจะมีฤทธิ์หลายอย่าง แต่ที่เห็นเด่นๆชัด คือ จะกระตุ้นให้มีการหลั่งสารที่เรียกกันว่า adrenaline ซึ่งสารตัวนี้จะมีผลทำให้หัวใจเต้นเร็ว เหงื่อออกมาก ถ้ากินมากๆอาจถึงขั้นเป็นพิษได้จะทำให้เกิด อาการ อาเจียน ท้องเสีย หายใจถี่ ฉี่บ่อย กระวนกระวาย และในที่สุดก็ถึงตายได้ มีรายงานในสุนัขบอกว่า ในสุนัขที่น้ำหนักไม่เกิน 5 กก. กินเข้าไปแค่ 400 มก. ก็สามารถแสดงความเป็นพิษได้ การที่สุนัขค่อนข้างจะไวต่อความเป็นพิษของ theobromine นั้นเป็นเพราะว่าร่างกายของมันไม่สามารถที่จะกำจัด theobromine ออกจากร่างกายได้รวดเร็วเหมือนกับสัตว์ชนิดอื่น ตามปกติช็อคโกแลตที่ขายในท้องตลาด ถ้าเป็นแบบหวานจะมี theobromine อยู่ประมาณ 1.5 มก ต่อ ซีซี แต่ถ้าเป็นแบบไม่หวานจะมีประมาณ 13 มก. ต่อ ซีซี

ข้อมูลเพิ่มเติม

1.เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ทำให้เกิดอาการได้รับสารพิษมากเกินไป เข้าขั้นโคม่าและตายได้ 

2.อาหารทารกสำเร็จรูป มักมีส่วนผสมของหัวหอมที่เป็นพิษกับสุนัข และถ้ากินมากๆ อาจอยู่ในภาวะขาดสารอาหารได้

3.ก้างปลา กระดูกต่างๆ อาจทำให้ติดคอหรือบาดกระเพาะอาหารเป็นแผลได้

4.ชา กาแฟ เครื่องดื่มคาเฟอีนและ ช็อกโกเเลต เป็นพิษกับหัวใจและระบบประสาท 

5.น้ำมันสกัดจากผลไม้ชนิดส้ม ทำให้เกิดการอาเจียน

6.องุ่นและลูกเกด ทำให้เกิดผลเสียกับไต 

7.วิตามิน(ของคน)ที่มีธาตุเหล็ก ทำลายเนื้อเยื่อของระบบย่อยอาหารและเป็นพิษต่อตับและไต 

8.ตับ(ในปริมาณมาก) ทำให้เกิดวิตามินเอเป็นพิษ ส่งผลกับกล้ามเนื้อและกระดูก

9.ถั่วแมคคาเดเมีย มีสารพิษที่เป็นอันตรายต่อระบบย่อยอาหาร ระบบประสาท และกล้ามเนื้อ

10.นมและผลิตภัณฑ์จากนม สุนัขส่วนใหญ่ไม่มีเอนไซม์ใช้ย่อยน้ำตาลแลคโตสในนมวัวมากพอ ซึ่งจะทำให้เกิดท้องเสีย ควรใช้นมสุนัขที่ไม่มีแลคโตส 

11.เห็ด เห็ดบางชนิดเป็นพิษ ส่งผลต่ออวัยวะหลายส่วน ทำให้ช๊อค และตายได้ 

12.หัวหอม มีสาร sulfoxides และ disulfides ซึ่งทำอันตรายต่อเม็ดเลือดแดง

13.ไข่ดิบ มีสาร Avidin ที่ลดการซึมซับไบโอติน(วิตามินบีชนิดหนึ่ง)และทำให้เกิดผลเสียต่อขนและผิวหนัง

14.ปลาดิบ ทำให้เกิดการขาดวิตามินบี Thiamine และไม่อยากอาหาร อาจทำให้ชักหรือในกรณีที่รุนแรงมาก อาจถึงตายได้ 

15.ของหวาน ทำให้อ้วนผิดปกติ มีปัญหาโรคในปาก เป็นเบาหวานได้ 

16.บุหรี่ มีสารนิโคตินที่เป็นอันตรายต่อระบบย่อยอาหารและระบบประสาท หัวใจเต้นเร็ว หมดสติ โคม่า และ ตายได้ 

17.อาหารแมว มีโปรตีนและไขมันมากเกินไปสำหรับสุนัข



วันพฤหัสบดีที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

โรคร้ายที่ควรพึงระวัง


โรคหลอดลมอักเสบติดต่อในสุนัข (Canine Infectious Tracheobronchitis)

      ลักษณะสำคัญที่เห็นได้ชัดในโรคนี้คือ อาการไอแห้ง และลึก สุนัขจะแสดงอาการเหมือนมีอะไรติดคอ และพยายามจะขย้อนออกมา มักเกิดได้บ่อยในที่ที่มีสุนัขรวมกันมากๆ เช่น สถานเพาะพันธุ์สุนัข, โรงพยาบาลสัตว์, สถานรับเลี้ยงสัตว์ ฯลฯ จึงมีชื่อเรียกทั่วไปว่า Kennel Cough โรคนี้ไม่มีความรุนแรงนัก แต่ทำให้เจ้าของสุนัขไม่สบายใจได้ เนื่องจากสุนัขจะไอบ่อย และถี่มาก อย่างไรก็ตาม โรคนี้จะเป็นอันตรายต่อสุนัข ในกรณีที่ไม่ได้รับการรักษาแล้วมีอาการแทรกซ้อนเกิดขึ้น ซึ่งอาจทำให้สุนัขตายได้

    มีข้อควรระวังอยู่ว่า เมื่อสุนัขไอไม่ได้หมายถึง โรคหลอดลมอักเสบติดต่อ เสมอไป การวินิจฉัยแยกโรคต้องอาศัย อาการ และปัจจัยอื่นๆ มาประกอบกัน สาเหตุอื่นๆ ที่ทำให้สุนัขไอได้ เช่น โรคไข้หัด, การติดเชื้อพยาธิ, โรคที่เกิดจากรา และโปรโตซัว ฯลฯ

    สาเหตุที่ทำให้เกิดโรค

    เชื้อที่ทำให้เกิดโรคนี้ได้มีความหลากหลายมาก อาจเกิดจากการติดเชื้อไวรัส และแบคทีเรียหลายชนิดร่วมกัน หรือติดเชื้อชนิดเดียวก็ได้ ตัวอย่าง เช่น Parainfluenza virus, Adenovirus type II, Bordetella bronchiseptica bacteria โดยเชื้อจะเข้าสู่สุนัขทางการหายใจ

    อาการ

    กรณีที่เป็นเพียงเล็กน้อย อาการที่พบ คือ ไอแห้ง และลึก อาการขั้นต่อมา เชื้อโรคจะทำให้ไอลึกอย่างรุนแรง และมีน้ำมูก น้ำตาไหลด้วย สุนัขจะแสดงอาการเหมือนมีเศษอะไรติดคอ และพยายามขย้อนออก แต่ไม่มีอะไรออกมา การไอจะไอถี่ และกินเวลานาน

   ความรุนแรงของโรค

    โรคนี้ไม่มีความรุนแรงนัก แต่สามารถระบาดได้อย่างรวดเร็ว สุนัขปรกติจะไม่ตายจากโรคนี้ อย่างไรก็ตาม ต้องระวัง โรคแทรกซ้อนอื่นๆ ที่จะตามมาเนื่องจากภูมิคุ้มกันของสุนัขลดลง โรคเหล่านี้อาจทำให้สุนัขตายได้ เช่น ปอดบวม, โรคไข้หัด ฯลฯ

    การรักษา

    เชื้อที่เป็นสาเหตุของโรคนี้มีชนิด ถ้าโรคเกิดจากแบคทีเรีย การรักษาจะได้ผลเมื่อให้ยาปฏิชีวนะ แต่ถ้าเกิดจากไวรัส ในปัจจุบัน ยังไม่มีวิธีรักษาที่ได้ผลดี ต้องคอยรักษาตามอาการ จนกระทั่ง ระบบภูมิคุ้มกันของสุนัขสามารถขจัดเชื้อออกไปได้เอง ส่วนใหญ่จะใช้เวลาประมาณสองสัปดาห์ แต่สัตวแพทย์อาจให้ยาบรรเทาอาการไอ เพื่อลดอาการระคายเคืองที่จะเกิดขึ้น และทำให้สุนัขเงียบลงไปได้บ้าง

    การป้องกัน

    1) นำสุนัขไปหยอดวัคซีนป้องกันโรคนี้เข้าทางจมูก

    2) จัดที่อยู่ของสุนัขให้สะอาด และมีอากาศถ่ายเทได้สะดวก และควรทำความสะอาดด้วยยาฆ่าเชื้อที่มีประสิทธิภาพในการทำลายไวรัส และแบคทีเรีย

    3) กรณีที่สุนัขต้องไปอยู่ในที่ที่มีโอกาสติดเชื้อได้ง่าย ควรให้วัคซีนป้องกันไว้ก่อน

โรคขี้เรื้อยเปียก

    ปัญหาสุขภาพของสัตว์เลี้ยงบางเรื่องสร้างความท้อใจให้ผู้เลี้ยงอย่างที่คาด ไม่ถึงครับ เนื่องจากเวลาเราซื้อสุนัขมาเลี้ยง หรือคนอื่นยกให้ก็ตาม ผู้เลี้ยงใหม่มักไม่ทราบว่าอาจมีโรคภัยไข้เจ็บที่เป็นแล้วรักษายากติดตัว สุนัขมาด้วย เมื่อเค้าป่วยและได้รับการตรวจวินิจฉัยแล้ว

    โรคเรื้อนเปียก หรือโรคเรื้อนในรูขุมขน เป็นโรคผิวหนังที่เกิดจากไร เป็นปรสิตภายนอกที่อาศัยในรูขุมขนของสุนัข ปรกติแล้วไรขี้เรื้อนเปียกสามารถขูดพบได้ในหมาตัวที่ปรกตินะครับ เพียงแต่โอกาสที่เจอนั้นน้อย และไม่อยู่ภาวะที่ก่อให้เกิดรอยโรคได้ กลไกในการเกิดที่ว่านี้ยังไม่ทราบสาเหตุแน่ชัด เท่าที่ค้นคว้าในปัจจุบันระบุว่าหมาตัวที่ป่วยเป็นโรคนี้มีความผิดปรกติของ เม็ดเลือดขาวชนิด T - cell และยังมีระดับของอินเตอร์ลิวคิน-2
ต่ำกว่าหมาปรกติ เจ้าสารอินเตอร์ลิวคิน-2 เป็นสารชีวเคมีที่ร่างกายของสุนัขมีอยู่ทุกตัว มันทำหน้าที่กระตุ้นให้เกิดปฏิกิริยาทางภูมิคุ้มกัน

เพราะเมื่อสารนี้หลั่งออกมาจะเกิดการกระตุ้นให้มีการเพิ่มจำนวนเซลล์ภูมิคุ้มกัน เพิ่มระดับการทำงาน เพิ่มการสร้างภูมิคุ้มกัน
แต่ถ้าสารที่ว่านี้ลดต่ำลงเมื่อใด เจ้าไรขี้เรื้อนในรูขุมขนจะเริ่มเพิ่มจำนวนขึ้น และตัวมันเองยังเป็นตัวการสำคัญที่จะผลิตสารชีวเคมีซึ่งทำให้เกิดปัญหาการกด เซลล์ภูมิคุ้มกันด้วย
คราวนี้เลยมีช่องทางให้เจ้าเชื้อโรคเพื่อนเกลอ คือแบคทีเรียเข้ามาร่วมก่อเสียหายด้วย สุนัขตัวที่ป่วยเป็นโรคเรื้อนเนื้อตัวจึงเละตุ้มเป๊ะในพื้นที่เกิดรอยโรค

อาการของโรคเรื้อนเปียกมีหลายรูปแบบ

อาการเรื้อนเปียกแบบเฉพาะที่ มักพบที่บริเวณแก้ม เหนือคิ้ว ขาหน้า โดยหมามีขนร่วง ผิวหนังแดง คันและเกา มีแผลอักเสบเป็นตุ่มแดงๆ เล็กๆ ตามปรกติแล้วรอยโรคจะเกิดขึ้นเอง และจะหายไปเองได้ภายใน 3-8 สัปดาห์

แต่ถ้ามีอาการอักเสบมีตุ่มหนองด้วยต้องรีบพาสุนัขมารับยารักษาอย่างต่อ เนื่องจนกว่าจะหาย ตามปรกติแล้วมีสุนัขประมาณ 10 เปอร์เซ็นต์ที่มีโอกาสป่วยเป็นโรคเรื้อนเปียกแบบเฉพาะที่ แล้วพัฒนาเป็นแบบกระจายตัวทั่ว

เจ้าของควรหมั่นพาสุนัขของท่านไปตรวจรักษาตามที่สัตวแพทย์แนะนำครับ
อาการเรื้อนเปียกแบบกระจายเป็นบริเวณกว้าง มักพบว่าหมาตัวที่เป็นมีการอักเสบของผิวหนังรุนแรงมาก มีขนร่วง มีตุ่มหนองแตกออก เป็นแผลคันเกา รอยโรคพบได้ตั้งแต่ส่วนของใบหน้า ลำตัว ขา และเท้า เรียกว่ามีอาการอักเสบของรูขุมขนจนมีเลือดออก มีหนองไหลแตกออกมาจากตุ่มที่ติดเชื้อนั้นล่ะครับ

รอยโรคที่เป็นแล้วถือว่ารุนแรงและรักษาได้ยาก คือ เมื่อเป็นทั่วตัวแล้ว เกิดการอักเสบมากที่ผิวหนังส่วนของเท้า สุนัขที่ป่วยเป็นโรคเรื้อนเปียกที่ลามลงไปถึงที่เท้านั้นมีอาการเท้าบวม เป็นตุ่มเลือดแตกออก กระจายไปทั่วเท้าซึ่งสัตว์จะทรมาน เจ็บปวดมากทีเดียว

การตรวจวินิจฉัย 

     โรคเรื้อนเปียกจำเป็นต้องพาสุนัขไปตรวจ เพื่อให้คุณหมอขูดเอาผิวหนังส่วนที่ลึกถึงชั้นรูขุมขนไปตรวจ เมื่อเก็บตัวอย่างผิวหนังได้ สัตวแพทย์จะใช้กล้องจุลทรรศน์ส่องตรวจดูตัวอย่างของผิวหนังซึ่งอาจจะเป็น หนองหรือเลือด เวลาพบว่าสุนัขป่วยเป็นโรคเรื้อนเปียกมักสังเกตเห็นตัวเรื้อนในตัวอย่างของ ผิหนัง ว่ามีมากมายหลายตัวและกำลังอยู่ในภาวะที่เพิ่มจำนวนขึ้น เช่น พบตัวเรื้อนตัวแก่ ตัวอ่อน พบไข่ อย่างนี้ล่ะครับที่เรียกว่ากำลังสร้างปัญหาสุขภาพให้สุนัขอย่างมาก
การรักษา เรื่องนี้ล่ะครับเป็นปัญหา อย่างที่ทราบกันดีว่า
โรคนี้เป็นโรคผิวหนังที่ต้องใช้เวลารักษานานมาก
ยิ่งในรายที่เป็นแบบกระจายไปทั่วตัว บางรายอาจต้องให้ยานานกว่า3-8เดือนและต้องได้รับการตรวจเป็นระยะ อย่างเช่น สุนัขตัวที่ป่วยเป็นโรคเรื้อนเปียกแบบกระจายไปทั่วตัว และเป็นที่ฝ่าเท้านั้น ใช้เวลารักษานานและต้องให้ยาอย่างต่อเนื่อง ท่านอาจถามต่อว่าโรคนี้หายขาดไหม แต่เดิมเชื่อกันว่า รักษาไม่หาย

ปัจจุบันยารักษามีประสิทธิภาพดีขึ้น สุนัขป่วยเป็นเรื้อนเปียกแบบกระจายทั่วตัวมีโอกาสหายขาดได้ จะมีในบางรายเท่านั้นที่ต้องให้ยาควบคุมไปตลอด และมีโอกาสกลับมาเป็นได้อีกหลังจากหยุดให้ยา เมื่อสุนัขรับยาจนไม่มีอาการผิดปรกติอะไรแล้ว ต้องพาสุนัขมาขูดผิวหนังตรวจซ้ำอีกครั้ง ว่ามีตัวเรื้อนเปียกอีกหรือไม่ในรอยโรคเดิม ซึ่งต้องขูดตรวจอย่างน้อย 5 จุดของร่างกายเพื่อให้ผลยืนยันได้อย่างชัดเจน ถ้าขูดผิวหนังตรวจแล้วไม่พบ หลังจากที่หยุดยานานกว่า 2 เดือนนั่นแสดงว่าสุนัขหายจากโรคนี้แล้ว อย่างไรก็ตาม สุนัขตัวที่ป่วยเป็นโรคเรื้อนเปียกเจ้าของต้องหมั่นพาไปตรวจร่างกายครับ แต่ถ้าเริ่มมีตุ่มคล้ายสิวขึ้นแบบกระจายตัว ขนเริ่มร่วง และสุนัขคันเกาต้องรีบพาไปพบสัตวแพทย์ทันที

โรคขี้เรื้อยแห้ง

       ปัญหาที่มักถามกันมากก็คือ เจ้าตูบแสนรักจะไปติดโรคนี้ได้อย่างไร ทั้งๆ ที่เลี้ยงอยู่แต่ในบ้าน เหตุที่ว่า  เกิดได้จากการเล่น สัมผัสและคลุกคลีกับตัวที่ป่วยเข้าจนเกิดการถ่ายทอดเจ้าไรตัวนี้ต่อกันไป ที่สำคัญอีกประการคือเรื่องของสภาพแวดล้อมครับ ในบ้านเมืองของเรามีสุนัขจรจัดเยอะ เรียกว่าเดินไปตรอกไหน ซอกไหน ซอยไหนมีอันต้องได้เจอ
นี่เองแหละครับที่ช่วยกระตุ้นให้เกิดการแพร่กระจายของโรคได้เร็วและต่อ เนื่อง สุนัขที่ป่วยเป็นโรคนี้จะมีอาการคันมาก และเมื่อคันเกาบริเวณที่เป็นรอยโรคจะมีชิ้นส่วนของสะเก็ดผิวหนังที่ปลิว กระจายล่วงออกมาจากตัวสุนัข หากสุนัขอีกตัวไปนอนทับหรือเกลือกกลิ้งย่อมมีโอกาสจะติดเชื้อ จนอาจป่วยเป็นโรคเรื้อนแห้งได้ เนื่องจากเจ้าไรขี้เรื้อนนี้มีชีวิตได้นานกว่า 2 วัน

เมื่อหลุดร่วงจากผิวหนังของสุนัขตัวที่ป่วยยิ่งเพิ่มโอกาสที่จะไปติดต่อกับ สุนัขตัวอื่นได้มากขึ้น เพราะฉะนั้นถึงแม้ท่านไม่ได้พาสัตว์เลี้ยงออกไปนอกบ้าน แต่ถ้าสุนัขของเราชอบนอนใกล้รั้วบ้าน และหากรอบๆ บ้านมีสุนัขจรจัดตัวที่ป่วยเป็นโรคขี้เรื้อนแห้งอาศัยอยู่ ย่อมมีโอกาสติดโรคได้เช่นกันครับ

อาการของสุนัขตัวที่ป่วยเป็นโรคขี้เรื้อนแห้ง 

   เริ่มต้นจะมีอาการคันตัว คันที่ขอบใบหูทั้งสองข้างและคันที่ศอกด้านข้าง ถ้าสังเกตให้ดีจะพบเม็ดตุ่มแดงๆ ขึ้นที่ผิวหนัง บริเวณที่เห็นชัดเจนมักเป็นที่ท้อง หรือบริเวณขาหนีบ และบั้นท้าย จากนั้นจะเริ่มมีอาการคันรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ กระทั่งขนบนตัวสัตว์เริ่มร่วง ตำแหน่งที่พบชัดเจน คือที่ขอบใบหูสองข้าง และศอกด้านข้าง ผิวหนังบริเวณดังกล่าวเริ่มเป็นสะเก็ดแผลที่หนาตัวขึ้น เมื่อแผลนั้นเริ่มแตกออกมากขึ้นเรื่อยๆ อาการขนร่วงจะค่อยๆ แพร่กระจายไปทั่วตัว ทีนี้สะเก็ดแผลบนผิวหนังจะเริ่มเกิดขึ้นทั่วตัวเช่นกัน เจ้าสุนัขหนังกลับที่เราเห็นข้างถนนนั่นล่ะครับ คือสุนัขที่ป่วยเป็นโรคขี้เรื้อนแห้ง

การตรวจวินิจฉัย 

  ในเบื้องต้นเราควรสังเกตอาการของสัตว์เลี้ยงของเราเองก่อนครับ ซึ่งการทดสอบที่ได้ผลค่อนข้างแม่นยำในการตรวจโรคนี้ เรียกว่า การทำ Pinna-pedal reflex test การทดสอบทำได้ง่ายมาก เวลาที่สุนัขป่วยเป็นโรคขี้เรื้อนแห้งจะมีตำแหน่งที่คันมากๆ อยู่ 2 จุดดังที่กล่าวมา คือที่ปลายใบหูสองข้างนั้น และที่ข้อศอกด้านข้าง ถ้าเราจับสุนัขมาทดสอบโดยการเอานิ้วมือขยี้ที่ปลายใบหูเบาๆ แล้วสุนัขเอาเท้าหลังข้างนั้นเกาที่ศอกด้านนั้น

ก็น่าสงสัยครับว่าทำไมสุนัขของเราถึงคันได้ เพราะอาการดังกล่าวแสดงว่าสัตว์คันมากที่ปลายใบหู และที่ศอกด้วย และโรคผิวหนังที่จะเกิดขึ้นได้มีไม่กี่โรคหรอกครับ ที่สำคัญคือโรคขี้เรื้อนแห้งนี่แหละครับ แต่การที่เราจะสรุปปัญหาการป่วยว่าใช่โรคขี้เรื้อนแห้งหรือไม่นั้น

คงต้องอาศัยองค์ประกอบหลายประการร่วมกัน ไม่ว่าจะเป็นรอยโรคที่ปรากฏ การทดสอบทำ Pinna-pedal reflex test การขูดผิวหนังเก็บตัวอย่างเพื่อตรวจหาตัวไรขี้เรื้อน ทุกอย่างจะสอดคล้องกันแม้ว่าการขูดผิวหนังเพื่อหาไรขี้เรื้อนอาจจะไม่พบ เพราะถ้าอยู่ในระยะเริ่มต้นมักจะขูดผิวหนังไม่พบเสียด้วยซิครับ
การรักษาโรคขี้เรื้อนแห้ง สามารถทำได้หลายวิธีครับ ที่นิยมกระทำ คือ การให้ยาโดยการฉีดเพื่อรักษา ซึ่งได้ผลดีแต่ก็ต้องทำซ้ำทุกๆ 10-14 วันครั้งจนกว่าสุนัขจะหายสนิท ในกรณีที่เราเลี้ยงสุนัขไว้หลายตัว

เราต้องพาสัตว์เลี้ยงทุกตัวมารับการรักษาด้วย เพราะโรคนี้ติดต่อได้ง่ายและติดต่อได้ไวมาก ถ้าเราไม่สนใจนำสุนัขมารับการรักษาพร้อมๆ กันจะทำให้เกิดปัญหาการป่วยวนเวียนอยู่ในฝูงสุนัข เพราะเมื่อตัวที่เป็นหาย ตัวที่ได้รับเชื้อจะเริ่มแสดงอาการอีก และถ้ายาเสื่อมฤทธิ์เมื่อไหร่ สุนัขจะเริ่มมีอาการป่วยอีกเช่นกัน เจ้าตัวที่ป่วยเป็นโรคขี้เรื้อนแห้งนั้นมีความน่ารังเกียจอยู่แล้วครับ

โรคนี้ติดต่อจากการสัมผัสกับสัตว์เลี้ยงที่ป่วยอยู่นั่นแหละ เพราะฉะนั้นเมื่อท่านทราบว่าสุนัขของเราป่วยเป็นโรคนี้ ควรหยุดกอดและคลุกคลีกับสัตว์เลี้ยงไว้ก่อน โดยเฉพาะคุณผู้หญิงที่ผิวค่อนข้างบอบบาง ควรหยุดกอดรัด หรืออุ้มเจ้าตัวน้อยเลยครับ โรคที่ติดมาสู่คนนั้นจะมีลักษณะเป็นเม็ดตุ่มแดงๆ ขึ้นบนผิวหนัง มีอาการคัน และกระจายออกไปได้ ซึ่งถ้ามีอาการเช่นนี้ให้รีบไปหาแพทย์เพื่อรับการรักษาอย่างทันท่วงทีครับ

โรคนิ่วในสุนัข (หมา)

    โรคนิ่ว จะเรียกภาวะรวมถึงการมีก้อนนิ่ว หรือมีปริมาณของ Crystal ในระบบทางเดินปัสสาวะ
ซึ่งโรคนิ่วมักจะสัมพันธ์กับโรค หรืออาการในระบบทางเดินปัสสาวะต่างๆเช่น กระเพาะปัสสาวะอักเสบ
( Cystitis ) ท่อปัสสาวะอักเสบ ( Urethritis) นิ่วในไต ( Kidney Stone ) นิ่วในกระเพาะปัสสาวะ
( Bladder Stone ) เช่นเดียวกับในคน 
      นิ่วสามารถเกิดได้ในทุกส่วนของระบบทางเดินปัสสาวะ โดยนิ่วที่เกิดขึ้นในระบบทางเดินปัสสาวะ ดังกล่าวจะระคายเคืองต่อเยื่อบุทางเดินปัสสาวะ ทำให้เกิดความเจ็บปวด ในบางกรณีก้อนนิ่วอาจขวางทางเดินปัสสาวะ ให้เกิดปัสสาวะขัด
หรือปัสสาวะด้วยความเจ็บปวด และปัสสาวะไม่ออก จนทำให้กระเพาะปัสสาวะแตกซึ่งเป็น
อันตรายถึงตายได้นิ่วชนิดต่างๆที่พบได้มากในสุนัข

Magnesium Ammonium Phosphate (struvite

  เป็นนิ่วชนิดที่พบได้บ่อยที่สุดในสุนัข โดยมาก
มักเกิดสัมพันธ์กับการเกิดการติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะ โดยแบคทีเรียชนิดที่เปลี่ยนยูเรียในปัสสาวะให้กลายเป็น Ammonia และอยู่ภายใต้สภาวะ
แวดล้อมที่เป็น ด่าง มีความอิ่มตัวของสารที่เป็นองค์ประกอบอื่นๆ และการมีโภชนาการที่ไม่เหมาะสม
ซึ่งสภาพเหล่านี้ล้วนทำให้เกิดนิ่วที่มี Struvite และกลุ่มของ Calcium Phosphate
(Carbonate และ Hydroxyl Form) ได้

Calcium Phosphate

       เป็นนิ่วที่มักเกิดกับสุนัขที่มีอาการเกี่ยวข้องกับความผิดปกติของเมตาโบลิซึม หรือเกิดร่วมกับภาวะเช่นเดียวกับนิ่วชนิด Struvite

Calcium Oxalate

       เป็นนิ่วที่พบได้น้อยในสุนัข (แต่พบมากในคน) การเกิดนิ่วชนิดนี้เป็นผลตามมาจากความผิดปกติที่ทำให้เกิดการตกตะกอนของ Calcium Oxalate ในปัสสาวะที่มักอยู่ในสภาวะที่เป็น กรด ซึ่งมีกลไก
ในการเกิดที่ยังไม่ชัดเจน

Urate

       เป็นนิ่วที่พบได้มากที่สุดในสุนัขพันธุ์ดัลเมเชี่ยน นอกจากนั้นยังพบในพันธุ์อื่นๆในเปอร์เซ็นต์ที่น้อยกว่า
มาก การเกิดนิ่วชนิดนี้ในสุนัขพันธุ์ดัลเมเชี่ยน เนื่องมาจากความผิดปกติของสุนัขพันธุ์นี้ที่ไม่สามารถกำจัด  Uric Acid ไปเป็น Allantoin ซึ่งเป็นสารที่ละลายได้ในปัสสาวะ โดยนิ่วชนิด Urate นี้มักเกิดในสภาวะของปัสสาวะที่เป็น กรด โดยเฉพาะอย่างยิ่งการกินอาหารที่มีปริมาณของโปรตีนสูง หรืออาหารที่มีปริมาณของ Urate มาก เช่น เครื่องในไก่ ก็จะยิ่งโน้มนำให้เกิดนิ่วชนิดนี้มากขึ้นนิ่วชนิดอื่นๆ (มีอุบัติการณ์เกิดที่ต่ำมาก)- Silica- Cystine- ตะกอนของยาบางชนิด- ฯลฯ

สาระน่ารู้เกี่ยวกับโรคนิ่วในสุนัข

- ปัสสาวะ เป็นสารละลายของสารหลายชนิด ประกอบด้วยสารที่สามารถยับยั้ง และสารที่โน้มนำให้เกิด
นิ่วได้
- การสืบประวัติของการให้อาหารสุนัข ในการวินิจฉัยสุนัขที่เป็นโรคนิ่วจะช่วยสามารถระบุสาเหตุ
ชนิดของนิ่ว ปัจจัยเสี่ยง และการป้องกันการเกิดนิ่วใหม่ได้
- การตรวจ Crystal ของสารต่างๆในปัสสาวะจากการส่องตรวจด้วยกล้องจุลทรรศน์จะมีส่วนช่วยในการ
วินิจฉัยถึงชนิดของนิ่วในทางเดินปัสสาวะได้ นอกจากนั้น ยังช่วยในการประเมินภาวะในระหว่างการรักษา
และหลังการรักษาได้เช่นกัน
- แม้ว่าความสัมพันธ์ของการพบ Crystal ในปัสสาวะ และการเกิดนิ่ว ยังไม่เฉพาะเจาะจงนักก็ตาม
อย่างไรก็ตามการพบ Crystal ของสารประกอบชนิดต่างๆในปัสสาวะก็ย่อมแสดงให้เห็นว่าเกิดการตกผลึก
(ความเข้มข้นของสารมากเกินการละลายได้) ในปัสสาวะขึ้นแล้ว
- นิ่วชนิด Urate มักมองไม่เห็นจากภาพ x-ray แม้จะพบว่ามีนิ่วจำนวนมากอุดตันอยู่ตลอดท่อทางเดิน
ปัสสาวะก็ตาม

ภาวะท้องมาน(ascites)






คือภาวะผิดปกติของเหลวสะสมคั่งค้างอยู่ในช่องท้อง
ภาวะท้องมานถูกจัดรวมอยู่ในภาวะบวมน้ำ(Edema)

ภาวะบวมน้ำ(Edema)

คือภาวะที่มีของเหลวปริมาณมากกว่าปกติคั่งค้างสะสมอยู่ในระหว่างเซลล์,เนื้อเยื่อ,ส่วนต่างๆของร่างกาย การเรียกชื่อที่เเบ่งย่อยออกไป จะเรียกตามส่วนที่เกิดการคั่งค้างของของเหลว
เช่นของเหลวสะสมคั่งค้างที่ช่องอกเรียกว่าไฮโดรธอเเรกซ์(hydrothorax)
ของเหลวสะสมคั่งค้างที่หัวใจเรียกว่าไฮโดรเพอริคาร์เดีม(hydropericardium)
ของเหลวสะสมคั่งค้างอยู่ในช่องท้องเรียกว่าท้องมาน(ascites,hydroperitoneum)
การรักษาภาวะบวมน้ำนั้นต้องรักษาที่ต้นเหตุของการเกิดภาวะ

ปัจจัยการเกิดบวมน้ำมี4ปัจจัยใหญ่ๆคือ

1.ในหลอดเลือดปกติจะมีเเรงชนิดหนึ่งซึ่งเป็นเเรงในการดึงของ เหลวเอาไว้ไม่ให้ของเหลวนั้นออกจากหลอกดเลือดไว้ได้เรียกว่าเเรงดันออสโมซิส
หากว่ามีความผิดปกติคือร่างกายมีเเรงดันมากกว่าเเรงดันออสโมซิสที่จะดึงของ เหลวไว้ให้อยู่ในหลอดเลือดไว้ได้ ของเหลวในหลอดเลือดจะหลุดออกมาคั่งค้างในร่างกายทำให้เกิดภาวะบวมน้ำได้
หรือในกรณีที่มีการอุดตันของเส้นเลือด หรือเกิดการอุดตันของเส้นเลือด
ยกตัวอย่างให้ง่ายน่ะครับ
เราเอาถุงพลาสติกที่เจาะรูที่ถี่มาก ให้ถุงนั้นเหมือนเส้นเลือด เเล้วเอาเทปใส่ปิดรูพวกนั้นไว้เปรียบเหมือนเเรงดันออสโมซิส หากเราใส่น้ำเข้าไปในถุงนั้น
หากว่าเเรงน้ำที่ใส่ไปมีความเเรงมากจนทำให้เทปใส่นั้นรับเเรงดันน้ำไม่ไหวก็จะทำให้น้ำออกมา
หรือหากเราเอาอะไรมากั้นทางเดินของน้ำเปรียบเหมือนเส้นเลือดอุดตัน เมื่อมีน้ำไหลผ่านมากๆก็จะทำให้เกิดการไหลออกของน้ำได้

2.โปรตีนที่อยู่ในหลอดเลือดนั้นจะมีผลต่อเเรงดันออสโมซิส
โดยเฉพาะโปรตีนพวกอัลบูมิน(Albumin)ซึ่งพบในไข่(Ovalbumin) ในนม(Lactalbumin) เป็นส่วนใหญ่
หากเกิดการสูญเสียโปรตีนหรือโปรตีนต่ำ จะมีผลต่อเเรงดันออสโมซิสต่ำลงด้วย ทำให้ของเหลวนั้นออกจากหลอดเลือดได้ง่าย
ตัวอย่างที่ทำให้เกิดการสูญเสียโปรตีนนอกร่างกายเช่นโรคไต(Renal edema) ภาวะการขาดสารอาหาร(Debilitation edema)
เราอาจเปรียบโปรตีนโดยเฉพาะพวกอัลบูมินเหมือน จำนวนเทปใส่ปิดถุงพลาสติกได้ครับ

3.การเกิดการเปลี่ยนเปลงคุณสมบัติหลอดเลือดเช่น การเกิดอุบัติเหตุได้รับการกระทบกระเทือนถึงหลอดเลือด หลอดเลือดเกิดการอักเสบจนไปปิดทางเดินเลือด เป็นต้น

4.การขัดขวางการไหลผ่านของขอน้ำเหลือง(Lymphatic obstruction)
ในกรณีความผิดปกติต่างๆของท่อน้ำเหลืองเช่นการเกิดเนื้องอกที่มาถึงท่อน้ำ เหลือง,การบวม-การอักเสบจนไปปิดท่อน้ำเหลือง ทำให้น้ำเหลืองนั้นหลุดออกจากเส้นเลือดได้)

โรคพยาธิหนอนหัวใจในสุนัข

     ชีพจักรของพยาธิหนอนหัวใจของสุนัขเริ่มต้นเมื่อสุนัขที่ป่วยด้วยโรคพยาธิหนอนหัวใจ ซึ่งจะมีตัวอ่อนของพยาธิหนอนหัวใจอยู่ในกระแสเลือด (microfilariae)
ถูกยุงดูดกินเลือด ทำให้ยุงได้รับเอาตัวอ่อนของพยาธิหนอนหัวใจไปด้วยเมื่อดูดกินเลือดสุนัขป่วย เป็นอาหารหลังจากนั้นตัวอ่อนของพยาธิหนอนหัวใจจะใช้ระยะเวลาภายหลังจากถูก ดูดกินจากตัวสุนัข
ประมาณ 2-3 สัปดาห์ในการพัฒนาเป็นตัวอ่อนระยะติดต่อในตัวยุงเมื่อยุ่งมีการดูดกินเลือดของสุนัขอีกครั้ง
โดยเฉพาะสุนัขที่มีสุขภาพปกติ (ไม่ได้ป่วยเป็นโรค)

ยุงจะมีการถ่ายเทตัวอ่อนระยะติดต่อที่ได้มีการพัฒนาอย่างสมบูรณ์แล้วในยุงไปยังสุนัขอีกตัวหนึ่ง
จากนั้นตัวอ่อนระยะติดต่อจะชอนไชไปตามเนื้อเยื่อต่างๆ ของสุนัข
และเจริญเติบโตต่อไปอีก 2-3
เดือนและพัฒนาเป็นตัวแก่ในที่สุดในหัวใจของสุนัขตัวใหม่ เมื่อตัวพยาธิอยู่ในหัวใจของสุนัข
และมีการเจริญเติบโตในหัวใจของสุนัข มันจะมีขนาดยาวประมาณ 14 นิ้ว
และทำความเสียหายให้กับเนือ้เยื่อหัวใจ
เนื้อเยื่อปอดและอวัยวะที่สำคัญอื่นๆ ถ้าสุนัขป่วยไม่ได้รับการรักษา
การพัฒนาของโรคจะมีความรุนแรงมากขึ้นและที่สุดสุนัขจะตายได้
คำถาม คำตอบที่มักจะพบเสมอๆ จากเจ้าของสุนัข

"สุนัขสามารถเป็นโรคพยาธิหนอนหัวใจได้หรือไม่"

สุนัขสามารถป่วยด้วยโรคพยาธิหนอนหัวใจได้ ไม่ว่าสุนัขจะอาศัยอยู่นอกบ้าน
หรือแม้แต่ภายในบ้านตลอดเวลา สุนัขสามารถติดโรคพยาธิหนอนหัวใจได้ด้วยยุง
โดยเฉพาะยุงตัวเมียที่ต้องกัดกินเลือด
ยุงจะเป็นพาหะนำพยาธิระยะติดต่อมาสู่สุนัข ยุงเพศเมียเป็นแมลงขนาดเล็ก
จึงสามารถผ่านเข้าอ่อนช่องหน้าต่าง ประตูบ้าน หรือรูต่างๆ
เข้ามาภายในบ้านได้
สุนัขทุกตัวจึงมีโอกาสติดและป่วยเป็นโรคพยาธิหนอนหัวใจได้ทุกตัว
แม้ว่าจะอยู่ในบ้านก็ตาม ถ้ายุงที่กัดมีเชื้อพยาธิอยู่
ดังนั้นในบริเวณที่มีตัวกักโรค(สุนัขที่ป่วยและไม่ได้รับการรักษา)จะเป็นตัวแพร่เชื้อให้กับสุนัข
หรือแมวตัวอื่นๆ
หรือทำให้สัตว์ตัวอื่นอยู่ในสภาวะที่เสี่ยงต่อการติดโรคพยาธิหนอนหัวใจ

"จะทราบได้อย่างไรว่าสุนัขป่วยเป็นโรคพยาธิหนอนหัวใจแล้ว"

การที่จะทราบว่าสุนัขป่วยเป็นโรคพยาธิหนอนหัวใจหรือไม่
มีหนทางเดียวคือนำสุนัขไปพบสัตวแพทย์ เพื่อการตรวจวินิจฉัยโรคนี้
การตรวจมีด้วยกันหลายวิธี ทั้งวิธีที่ง่ายจนถึงวิธีการที่มีขั้นตอนซับซ้อน
แต่ทั้งนี้ก็ใช้เวลาไม่มากก็สามารถทราบผลได้ แต่ไม่ควรรอที่จะตรวจร่างกาย
โดยเฉพาะในประเทศไทยพบมีการระบาดของโรคนี้มากพอสมควร โดยเฉพาะในเขตชุมชน
กรณีที่ทราบว่าสุนัขป่วยด้วยโรคพยาธิหนอนหัวใจแล้ว สามารถให้การรักษาได้
แต่การรักษายังไม่ถือว่าปลอดภัยสำหรับการรักษาได้อย่าง 100 เปอร์เซ็นต์
เนื่องจากผลข้างเคียงภายหลังจากการรักษา
รวมทั้งยาที่ใช้ในการรักษามีราคาค่อนข้างแพง

"เมื่อไหร่จึงควรนำสุนัขไปตรวจว่าเป็นโรคพยาธิหนอนหัวใจหรือไม่"

ยุงคือพาหะของโรคนี้ ยุงที่เป็นพาหะสามารถพบได้ตลอดเวลา
ดังนั้นสุนัขมีโอกาสติดโรคได้ตลอดเวลา
เวลาที่เหมาะสมที่จะต้องนำสุนัขไปตรวจการป่วยเป็นโรคพยาธิหนอนหัวใจจึงควรปรึกษาสัตวแพทย์
"จะสามารถป้องกันสุนัขไม่ให้ป่วยด้วยโรคพยาธิหนอนหัวใจได้อย่างไร"<

ถ้าผลการตรวจพบว่าสุนัขไม่ติดเชื้อพยาธิหนอนหัวใจ
การป้องกันโรคนี้ก็จะทำได้ง่ายๆ
ทั้งนี้ควรปรึกษาสัตวแพทย์และปฏิบัติตามคำแนะนำของสัตวแพทย์
ด้วยการจัดโปรแกรมการฉีดยาป้องกัน หรือการกินยาป้องกัน
แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดที่ต้องจำไว้เสมอ ก่อนที่จะใช้โปรแกรมการป้องกันใดๆ
ต้องนำสุนัขไปตรวจการติดเชื้อเสียก่อน

โรคแท้งติดต่อในสุนัข

สาเหตุของโรค : เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย Brucella canis (B. canis) อาจเรียกสั้น ๆ ว่าโรคบรู

    อาการของโรค :

    1. ก่อปัญหาความไม่สมบูรณ์ในพ่อและแม่พันธุ์
    2. ผสมไม่ติด
    3. ถ้ามีการตั้งท้อง ก็มักจะแท้งหลังจากการตั้งท้อง ประมาณ 45 วันขึ้นไป
    4. อาจแท้งออกมาหมดทุกตัว หรือ รอดเป็นบางตัว (แต่ลูกที่คลอดออกมามักจะตายใน 1 สัปดาห์แรกหรือ ตายก่อนหย่านม)
    5. ในเพศเมีย อาจมีหนองไหลออกจากช่องคลอดได้
    6. ในเพศผู้ ......
    6.1. ผสมไม่ติด
    6.2. อัณฑะบวมขยายใหญ่ ข้างใดข้างหนึ่งหรือทั้งสองข้าง
    6.3. อาจมีการบวมขยายใหญ่ของต่อมน้ำเหลือง หรือต่อมลูกหมาก หรือฝ่อเมื่อติดเชื้อเป็นเวลานาน
    6.4. น้ำเชื้ออสุจิจะมีคุณภาพไม่ดี

    การติดต่อ :

    1. ผ่านทางเยื่อเมือกทุกส่วนของร่างกาย น้ำจากช่องคลอด , น้ำนม , น้ำคล่ำ , เนื้อเยื่อลูก, รกที่แท้ง ออกมา , น้ำอสุจิ , ปัสสาวะ, พื้นคอก พื้นบ้าน , อาหาร ,น้ำ ดังนั้นสุนัขที่เลี้ยงรวมกันหรือเลี้ยงปล่อย ก็มีโอกาสสัมผัสสิ่งปนเปื้อนเหล่านี้
    2. ติดต่อจากการ ** ผสมพันธุ์  **

    การวินิจฉัยโรค : ควรนำสุนัขไปหาสัตวแพทย์ เพื่อตรวจวินิจฉัยโรคต่อไป

    ความสำคัญของโรคแท้งติดต่อ :

    1. สามารถติดต่อมาสู่คนได้ (zoonosis) *** กับผู้เลี้ยงที่ใกล้ชิดและดูแลสุนัข
    2. ติดต่อไปยังสุนัขตัวอื่น ๆ ในฟาร์มเดียวกัน หรือฟาร์มที่เกี่ยวข้องกัน กลายเป็นปัญหาแพร่ระบาด ยากต่อการควบคุม

  การป้องกันและควบคุมโรคแท้งติดต่อ

    1. เป็นโรคที่ไม่มียารักษา และไม่มีวัคซีนในการป้องกัน
    2. ควรตรวจเลือดพ่อ แม่พันธุ์ สุนัขอย่างน้อยทุก ๆ 6 เดือน
    3. ตรวจเลือดก่อนทำการผสมพันธุ์ทุกครั้ง สำหรับพ่อแม่พันธุ์
    4. สุนัขตัวใหม่ที่เข้าฟาร์ม ควรแยกเลี้ยงต่างหากก่อน และทำการตรวจหาเชื้อ อย่างน้อย 2 ครั้ง
    5. ห้ามจำหน่ายสุนัขที่เป็นโรคแท้งติดต่อ ไปยังฟาร์ม อื่น ๆ เพราะจะทำให้เกิดการแพร่ระบาดของโรค

    ถ้าพบสุนัขที่เป็นโรคแท้งติดต่อ ควรจะ ......

    1. ฉีดยาให้หลับ
    2. ทำหมัน แล้วแยกเลี้ยงต่างหากไม่ให้สัมผัสกับสุนัขตัวอื่น
    3. ตรวจสอบสุนัขทุกตัวที่คลุกคลีด้วยกันเป็นเวลา 3 เดือน ติดต่อกัน จนไม่พบเชื้อ